สุดท้ายผมก็เช่าช่องสัญญาณคลื่นความถี่มาใช้จนได้ จริงๆ มันเป็นทางออกที่น่าจะดีที่สุด ถ้าหากผมยังอาลัยอาวรณ์กับมหานครที่แออัดไปทุกตารางนิ้วแห่งนี้ เดิมทีผมต้องการมันเพราะการจราจรนั้นสาหัสขึ้นทุกที จนถึงจุดที่การเสียค่าเช่ารายเดือนในราคามหาโหดนั้นคุ้มค่ากับการเสียเวลาชีวิตในยานพาหนะ
แต่สุดท้ายคลื่นความถี่ช่องส่วนตัวนี้กลับให้ประโยชน์ทางใจแก่ผมต่างหาก เรื่องมันเริ่มจากงานศพงานหนึ่ง…
เบ็นเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่อัธยาศัยดีและเป็นที่รักของเพื่อนฝูงพี่น้องมากมาย เขาเสียชีวิตกระทันหันในวัยที่ยังมีวันข้างหน้าอีกยาวไกล มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด อันที่จริงผมและเบ็นได้รู้จักมักคุ้นกันแค่ช่วงสั้นๆ สมัยที่เล่นละครเวทีนักศึกษากัน ผมจะต้อง stand by อยู่ข้างๆ เบ็น เช็คพรอพและเครื่องแต่งกายของเขาก่อนจะปล่อยคิวให้เบ็นขึ้นไปบนเวที
ละครสิบรอบทำให้เรามีความผูกพันธ์กันในห้วงเวลาสั้นๆ ที่เล่นซ้ำ เบ็นจะพูดไดอะล็อกเดิมก่อนปรากฏตัวขึ้นไปรับแสงไฟ โรงละครเป็นมิติประหลาดที่แตกต่างจากโลกข้างนอกนั่น
งานศพของเบ็นล้นหลามไปด้วยเพื่อนฝูงมากมาย ผมยืนสูบบุหรี่อยู่นอกศาลา รอเวลานำศพขึ้นเมรุ พลันเห็นหน้าเพื่อนร่วมรุ่นเดินตรงแหน่วมายังศาลา
“หวัดดี” ผมกล่าวกับหมิว เราไม่ได้สนิทอะไรกันมากนักแต่ก็ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งอะไรกันส่วนตัว
เธอเดินเลยผ่านเข้าไปในศาลาเสมือนผมเป็นวิญญาณ
ผมคิด… มันอาจจะมีเรื่องขัดแย้งบางเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวก็เป็นได้ หรือมีความผิดบาปประการใดที่ผมก่อไว้โดยไม่รู้ เหมือนในนิยายไงเล่า ผีมักจะมีช่วงเวลาที่ไม่รู้ตัวว่าตาย และวิญญาณร้ายมักไม่รู้ว่าตนทำผิดบาปประการใด
หรือหมิวอาจจะแค่เศร้า และไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทักทายเพื่อนเก่า
หากถามว่าความเศร้ามีสีอะไร หลายๆ คนคงบอกว่าสีเทา เพราะมันไม่ได้ชัดเจนเหมือนความมืดที่คงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากสีดำ แล้วรสชาติล่ะ ผมไม่แน่ใจว่าจะบรรยายอย่างไร เพราะน้ำตานั้นมีรสเค็ม ส่วนเลือดนั้นก็มีรสเหมือนโลหะปร่าแปร่ง
ใครสักคนยืนอยู่บนโพเดียมและกล่าวคำไว้อาลัยให้เบ็น การตายเป็นคล้ายการชำระ เรามีแต่เรื่องดีๆ ให้ระลึกถึง และอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าร่างกายอันผุพังจะถูกชำระด้วยเปลวไฟ หมิวนั่งอยู่ด้านหน้าเยื้องไปทางซ้าย ป่วยการที่จะนึกสงสัยว่าผมทำอะไรให้เธอโกรธเคือง แต่มันมีรสชาติของความเศร้าบางอย่างที่เฝื่อน เหมือนเวลาดื่มน้ำดื่มบรรจุขวดที่ทิ้งไว้นานเกินไป
เฝื่อน เหมือนเพื่อนที่เราได้มาจากการสุ่ม
ร่างของเบ็นกลายเป็นธุลีล่องลอยสู่เบื้องบน ก่อนจะฟุ้งกระจายและเจือจางกลับสู่ระบบทางเดินหายใจของคนในวัด การเผาครั้งนี้ใช้น้ำมันดีเซลประมาณ 200 ลิตร และเวลาอีกชั่วโมงครึ่ง เพียงเท่านี้โลกกายภาพก็มีที่ว่างเพิ่มขึ้นอีกนิด
แม่ของเบ็นนั่งก้มหน้าบนเก้าอี้พลาสติกอยู่ในศาลาที่ว่างเปล่า แขกเหรื่อกลับกันหมดแล้ว เหลือญาติๆ บางส่วนที่กำลังจัดเก็บสถานที่
ผมมองอยู่เงียบๆ สักครู่ จุดบุหรี่อีกมวน จึงสังเกตเห็นว่าแม่ของเบ็นกำลังหมุนจูนคลื่นความถี่และแนบหูฟังเสียง… หล่อนคงตามไล่คว้าชิ้นส่วนที่หลงเหลือของลูกชาย
แต่ถึงแม้วิทยาการจะก้าวหน้าถึงขนาดที่ว่าเราจำลองมิติเพื่อลดความแออัดได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ความตายนั้นซับซ้อนกว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ หากหล่อนโชคดี หล่อนอาจพบชิ้นส่วนเล็กๆ ที่กระจัดกระจายออกมาจากความทรงจำของเบ็น แต่นั่นหาใช่เบ็นไม่ มันจะเป็นเพียงเสียงที่ตกค้าง อาจเป็นประโยคไร้ความหมาย เสียงกระซิบ ตะโกนไร้ศัพท์ หรือกระทั่งเป็นส่วนผสมของหลายเศษส่วนแห่งดวงวิญญาณหลากหลายดวง
และนั่นคือสัญญาณที่บังคับให้เราต้องบอกลา เพราะส่วนที่แทนตัวตนของคนตายได้ดีที่สุดนั้นไม่ได้อยู่ข้างนอกนั่น แต่อยู่ในใจเราเอง
. . .
เช้าวันถัดมา ผมปรับช่องสัญญาณแล้วออกเดินทางไปบนท้องถนนด้วยรถอีโคคาร์กระป๋องที่เพิ่งผ่อนหมด ถนนวันอังคารโล่งเหมือนเช้าตรู่วันอาทิตย์ แต่ก็นึกสงสัยว่าในอนาคตเมื่อใครๆ ต่างก็เช่าช่องสัญญาณส่วนตัว มันจะวิกฤติขนาดไหนเชียวนะ ผมได้แต่ภาวนาให้การจัดสรรคลื่นความถี่นั้นมีกลไกตามหลักเศรษฐศาสตร์ ที่จะไม่ทำให้เราย้ายการจราจรคับคั่งจากโลกกายภาพมาสู่ความถี่นี้ แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้บ้าง ในอดีต การขยายพื้นผิวถนนเพิ่มที่เคยคิดว่าพอเพียงกับการขยายตัวของรถรา ก็ยังทำได้เพียงแก้ปัญหาชั่วคราว
ถึงออฟฟิศ ผมถอยจอดในซองประจำตัวและดับเครื่องยนต์ แต่ไฟสถานะบนหน้าปัทม์นั้นเตือนว่าผมยังคงอยู่ในคลื่นความถี่ส่วนตัวอยู่ ความเฝื่อนของมิตรภาพเมื่อเย็นวานนั้นยังฝังจำ ในขณะนี้มีคนกี่คน รถกี่คัน ที่อยู่ในคลื่นความถี่เดียวกับผมนะ?
ผมพยายามสอดตัวออกจากเข็มขัดนิรภัยแต่ไม่เป็นผล มันล็อกอัตโนมัติเนื่องจากไฟสัญญาณเตือน สุดท้ายต้องใช้มีดตัดกระดาษในกระเป๋าเอกสารตัดสายนิรภัยออก เมื่อเป็นอิสระจากความปลอดภัยแล้วจึงก้าวลงมาบนพื้นซีเมนต์ขัดมันของลานจอดรถด้วยร่างกาย ที่อยู่ในช่วงความถี่ที่ไม่มีอยู่จริง…หากไม่จ่ายรายเดือน
หมิว ผมแน่ใจว่าในช่วงคลื่นนี้ แม้จะบังเอิญขนาดไหนเราก็ไม่มีวันมองเห็นกัน เราจะเป็นเพียงความทรงจำของคนที่เคยรู้จักแต่ไม่สลักสำคัญ
เราจะเป็นเพียงผีของกันและกัน
น่าเสียดาย ผมฝันหวานได้เพียงชั่วครู่ ก่อนที่แบตเตอรีของเครื่องจำแนกความถี่จะหมด.
9 มีนาคม 2558
ด้วยความระลึกถึงพี่ใหม่ ก่อพงศ์ อิ่มเอิบ