สัญญากับปีศาจ

ในที่สุดเขาทำสัญญากับปีศาจ แถมยังเพิ่งอ่าน คนโด มาริเอะ จบหมาดๆ ความอยากมินิมัลจึงไหลเวียนในเลือดอุ่น

รายละเอียดของสัญญานอกจากเรื่องวิญญาณ อันเป็นสัญญากับปีศาจภาคบังคับ (ซึ่งปีศาจเองก็ยังงงๆ ว่าวิญญาณกะพร่องกะแพร่งนี้มีราคาอันใด) ยังมีรายการแนบท้าย เป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมว่า หากครอบครองเป็นเจ้าของสิ่งใหม่ ข้าวของประเภทเดียวกันที่มีอยู่เดิม จะไหม้สลายกลายเป็นจุณ

“วิน-วิน เจ้าได้ของใหม่ แถมบ้านก็ไม่รก” ปีศาจยิ้มหวานขณะเขาก้มหน้าเซ็นสำเนาถูกต้อง

นับจากนั้นเขาเลยหวุดหวิดจะกลายเป็นผู้ต้องหาคดีวางเพลิง เนื่องจากหนังสือ นอน-ฟิคชั่นประเทืองปัญญาและรูปเล่มมีราคาของโอเพ่นบุ๊คส์จากงานหนังสือคราที่แล้วนั้น ยังไม่ได้แกะซีลพลาสติก

ปีศาจไม่ได้บอก ว่าไฟนรกที่ลุกได้เองตามเงื่อนไขสัญญาเลือด ดันลามไปติดข้าวของอื่นๆ ได้ด้วย

นั่นยังไม่ร้ายเท่าวันหนึ่งที่แฟนสาวของเขาเจ็บหน้าอกและมีไข้สูง ร่างเธอร้อนดั่งไฟ เลือดกำเดาไหลแม้กระทั่งยามนอนหลับ

เขาเศร้า และรู้ดีว่าหัวใจของเธอกำลังถูกไฟนรกเผาไหม้อยู่ภายใน เพราะเขาเพิ่งได้หัวใจใครคนหนึ่งมา

ปีศาจ ทำไมถึงป่าเถื่อนเพียงนี้ มองผู้หญิงเป็นสิ่งของครอบครองได้อย่างไร สงสัยในนรกคงไม่มีเฟมินิสต์

นักขันน๊อต

ถ้าคุณยืนอยู่หน้าสายพาน แล้วขันน๊อตทุกวันเป็นเวลาสิบปี แน่นอนว่าคุณย่อมเป็นนักขันน๊อตผู้สามารถ

ทำนองเดียวกัน เพื่อนที่ยืนข้างๆ ย่อมทนงตนว่าเป็นนักพ่นสีฝีมือฉกาจ หน่วยวัดคือ x ชิ้นต่อวินาที

ถัดไปไม่ห่าง นั่นก็นักตอกตะปูในตำนาน

ถึงเวลาพักกลางวัน พวกเขาอาจสนใจใคร่รู้ ว่าพ่นสียังไง หรือกล้ามเนื้อมัดไหนใช้ตอก มัดไหนใช้ไข …แต่ก็อาจจะไม่

พวกเขาก็แค่รีบกินให้มันเสร็จไป แล้วกลับไปใช้ความทรงจำของกล้ามเนื้อ ขยับขึ้นลงซ้ำซ้ำ ถ้ามีโอกาสสักหน่อยให้วิพากษ์วิจารณ์ความเรียบของเม็ดสี นักตอกและนักไขในตำนานจะไม่รอรี …ในทางกลับกันก็เช่นกัน

ถ้าหากเขานึกสนุกแลกยูนิฟอร์มกันใส่ แลกเครื่องมือที่ใช้ แลกตำแหน่งหน้าที่ ผลผลิตคงร่วงกราวรูดเหลือ x ชิ้นต่อนาที

เมื่อคุณยืนอยู่หน้าสายพาน คุณได้บางอย่างมา คุณก็เสียโอกาสที่จะได้บางอย่างไป

แต่จะเลวร้ายกว่านั้น ถ้าคุณไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง

จุดอ่อนของฉันอยู่ที่ร่องฟัน

จุดอ่อนของฉันอยู่ที่ร่องฟัน
 
เป็นที่ซ่อนหลบในให้เนื้อหมูไก่ชายขอบยึดครองไม่ยอมจาก
เป็น เนื้อ-หมู-ไก่ ไร้บ้าน ผู้เคยมีหน้าตาและรสชาติดี
บ้างก็จากตระกูลสูง แห่งเกาะทะเลตะวันออก
บ้างก็วิ่งเล่น free range ในฟาร์มออร์แกนิกส์
 
เมื่อถูกสูบเถือดูดกลืนรสชาติจนสิ้นซาก
เศษเสี้ยวติดค้างในซอกหลืบที่แสงส่องไม่ถึงก็ส่งกลิ่น
เหม็นเน่า
 
จุดอ่อนของฉันอยู่ที่ร่องฟัน เพิกเฉยละเลยไม่นาน
ฟันก็คลอนจนต้องถอนออกทั้งซี่!

แก้วเปล่าในร้านโล่ง

บางคราว เรานั่งคุยกับตัวเองในร้านที่ว่างเปล่า

เป็นโต๊ะแรกของค่ำคืนแสนเยาว์

เพลงที่เขาเลือกเปิดบรรเลงและฝากรอยกระเพื่อมไว้ทุกหยาดหยดพร่างพรมบนร่างเหี่ยวแห้งให้ชุ่มชื้นฟื้นคืนสภาพ

เป็นเวลาที่น่าหวงแหน เพราะมันมีแค่ชั่วครู่ ก่อนที่สรรพสิ่งจะเติมเต็มที่ว่างในร้าน

ทีละอย่าง ทีละคน หนุ่มสาว คนทำงาน เด็กเสิร์ฟเพิ่งฟื้นจากฝันกลางวันตื่นตอนสามทุ่ม ขวดเปล่า จานอาหาร ภาชนะทั้งเต็มทั้งเปล่ามากมายเคลื่อนเข้ามาในร้าน เพื่อยึดครองพื้นที่ว่างภายใน

กระทั่งเสียงเพลง ก็พยายามยึดครองอาณาเขตของตนแข่งกับเสียงสนทนาจากแต่ละโต๊ะที่ฟังไม่ได้ศัพท์

พลัน เรากลายเป็นสัตว์ที่สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง

ค่ำคืนล่วงเข้าสู่วัยกลางคน บางคนพร้อมปลดปลงชีวิตเสียตั้งแต่ตอนนี้

หนีกลับบ้าน

ไปนั่งคุยกับความเงียบ และรินเติมภาชนะว่างเปล่าให้ตัวเอง.

การตัดสัมพันธ์

ฉันไม่ได้เกลียดเขา แต่รังเกียจคำพูดคำจาของเขามากๆ

ฉันเลยกด get notification และให้เขาเป็น close friend คนเดียวของฉัน จากนั้นฉันก็กดไลค์ทุกการกระทำของเขา ทุกครั้ง ทันทีทันใด

เกมนี้ดำเนินไปไม่ถึงวัน สุดท้ายเขาจึงบล็อคฉัน.

เมื่อวานวันชาติ

อัลกอริธึมทำเอาซึมทำเอาหงอย
วันสำคัญสำคัญน้อยสำคัญมาก
เรื่องสำคัญยังไม่สำคัญถ้ายังไม่ลำยาก
เรื่องยากยากเรื่องมากเรื่องเปลืองมิตรภาพ
ปากเปียกปากแฉะแซะเพื่อชาติ
ปวกเปียกเปาะแปะและทนทายาด
แบะแบะแบะแบะ
(จบด้วยเสียงแพะร้อง)

พิระมิด

การสร้างพิระมิดเป็นเรื่องโหดร้าย แต่มันก็ช่างน่าทึ่ง …หากจะต้องเลือกจริงๆ ฉันขอเลือกโลกที่มีพิระมิด

นายจะเลือกอะไรก็เรื่องของนาย แต่นี่กำลังคิดว่าตัวเองจะได้เป็นฟาโรห์ยืนเชยชมอาทิตย์อัสดงหลังพิระมิดใช่ไหม? นายแน่ใจได้ยังไงว่าในโลกที่มีการสร้างพิระมิด นายจะไม่ใช่แรงงานทาสที่ออกแรงลากหินจนลิ้นห้อยตาย

…โอเค ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ไม่เอาพิระมิดก็ได้

ก็บอกแล้วว่าจะเลือกอะไรก็เรื่องของนาย สุดท้ายโลกนี้ก็จะมีพิระมิดอยู่ดี ไปหาวิธีทำให้ตัวเองพ้นจากการเป็นทาสอาจจะพอมีหวังกว่า

ฉันอาจจะขุดรูอยู่…

รูของนายไม่มีทางได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกหรอกนะ

นักวิ่ง

เขาชอบวิ่งในสวน วิ่งหนึ่งช้าๆ หนึ่งรอบ เดินทอดน่องลอยชายอีกครึ่งรอบ และอาจจะวิ่งอีกหนึ่งรอบ

ฉันไม่ได้อยากหุ่นดีหรือลดน้ำหนัก ฉันแค่อยากสบายใจ เขาพูดแบบนี้บ่อยๆ

เขาชอบวิ่งในสวน เพราะในสวนมีผู้คน ทางวิ่งจะสวนกับทางจักรยาน เด็กๆ และพ่อแม่ปั่นจักรยานสวนไป

นานๆ ทีก็มีคนต่างชาติเปลือยท่อนบนวิ่งแซงไป เหมือนนักมวย เขาคิด

เขาชอบวิ่งในสวน มีผู้คนหลากหลาย เย็นวันอาทิตย์จะมีหนุ่มสาวต่างชาติมาหย่อนใจเป็นกลุ่มๆ พวกเขาสวมเสื้อยืดลายสดใส มีแจ็คเก็ตทับ และหมวกอีกใบ

ถ้าเช้าวันเสาร์จะเป็นครอบครัวชาวญี่ปุ่น พี่ชายน้องชายขี่จักรยานคันจิ๋ว แก้มเป็นสีมะเขือเทศ

บางทีเขาก็เจอหญิงสาวถูกใจ เธอขี่จักรยานสวนไป ช้าช้า เพราะมีเด็กเล็กๆ ขี่รถเล่นอยู่ข้างหน้า

เขาชอบวิ่งในสวน เพราะเขามักจินตนาการว่าจะพูดว่าอะไร จักรยานสวยดีนะครับ เขาอาจจะพูดอย่างนั้นถ้าหากสวนกันอีกรอบ

เขาเลยวิ่งอีกรอบ

เหงื่อผุด ถ้าได้โคล่าเย็นๆ ก็น่าจะดี

เขาชอบวิ่งในสวน แต่คนวิ่งช้าเกินไป และจักรยานก็เร็วเกินไป

มันเป็นประโยคทักทายที่ไม่เข้าท่าเอาซะเลย เขาคิด

วันนี้เหนื่อยเกินไป.

ไปทะเล

คุณรื่นเริงผิดปกติ แล้วผมก็นึกได้ว่าเรากำลังมุ่งหน้าสู่ทะเล เราได้กลิ่นแดดที่ทำให้สดชื่น และลมจากอีกฟากของมหาสมุทร

ระวังจะเลยแยกนะ ผมบอก มันเป็นแยกเล็กๆ จากถนนซูเปอร์ไฮเวย์ แยกเล็กๆ แต่เราไม่น่าจะพลาด

เราอยู่ใกล้ทะเลมากๆ แล้ว

ผมเหนื่อยหน่ายกับบทสนทนาที่ต้องการหาคนผิด ไม่มีใครคิดว่าตัวเองผิดหรอก แต่ผมเบื่อจะคุยเรื่องนั้นแล้ว ก็รถต่างขับมากันด้วยความเร็วสูง แยกเล็กๆ แค่นั้นใครจะไปทันสังเกต คุณอาจจะโอดครวญอย่างนี้ก็ได้ อย่างน้อยผมก็จะรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย แต่คุณก็ไม่พูดอะไร

กลิ่นของลมทะเลค่อยๆ แผ่วจางลง แต่คุณก็ยังขับต่อไปอย่างมาดมั่น

ผมไม่แน่ใจว่าภายใต้แว่นกันแดดนั้น จะมีแววตาของความกังวลอยู่บ้างไหม

ตรงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอทะเล คุณบอก

แต่เราเลยมาแล้ว

ตรง ไป เรื่อย เรื่อย เดี๋ยว ก็ เจอ ทะเล !

เราจะทำอะไรได้อีกล่ะนอกจากขับตรงไป

สักพักคุณคงอารมณ์เย็นลง คุณเริ่มฮัมเพลง คุณอธิบายว่าโลกมันกลม เราขับตรงไปเรื่อยๆ เราจะต้องเจอทะเลแน่ๆ แถมจะเป็นทะเลที่สงบสงัดสวยงาม หาดทรายขาวละเอียดกว่าที่แรกที่เราตั้งใจจะไปเสียอีก

ทะเลนั้นจะต้องคลาคล่ำไปด้วยผู้คนแน่ๆ คนไร้สมองผู้ไปเหยีบได้แค่ชายหาดใกล้เมือง คนที่ไม่ขวนขวายจะไปที่ที่ดีกว่า

เราขับไปเรื่อยๆ

บนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ไม่เคยว่างเว้นจากยานยนต์ ผมแน่ใจว่าเราหลงทาง แต่เราก็ไม่เคยอยู่โดดเดี่ยวบนถนน นั่นทำให้คิดจินตนาการได้ว่าทุกคนต่างกำลังมุ่งหน้าไปทะเลลี้ลับ

คันนั้นก็ไป คันนั้นก็ด้วย คันที่ตามมาก็ใช่ ทุกคนต่างกำลังไปทะเล!

เราจะนอนเอนกายบนชายหาด จิบโมฮิโต้ให้ชื่นใจ มองเฉดสีนับพันที่เปลี่ยนไปยามอาทิตย์อัสดง

ถึงโลกจะกลมแต่ทะเลก็อยู่ไกลเกินไป และรถที่เราขับมาก็ไม่เหลือน้ำมันให้เผาผลาญไปอย่างไร้สารระอีกต่อไป

คุณเทียบจอดรถข้างทาง ไม่น่าเชื่อว่าบนถนนหลวงอันร้างไร้นั้น มีโรงแรมบ้านๆ อยู่

มันจะต้องเป็นที่พักแสนวิเศษแน่ๆ ดีกว่าไปทะเลอีก เพราะฉันร้อนและเหนื่อยเหลือทน

แต่ แต่นั่นมันโรงแรมม่านรูดนะ

ป้ายที่เห็นแต่ไกลบอกว่ามีแต่คนโง่ คนจนตรอก และคนที่ต้องการเตียงอย่างเร่งด่วนเท่านั้น ถึงจะแวะพักในที่แห่งนี้

เราจะไปทะเลกันไม่ใช่เหรอ

ทะเล? ทะเลมีที่ไหน นั่นมันนิทานหลอกเด็กน่า

แต่– ฉันว่าเราไปหาที่พักที่อื่นกันเถอะ

เรา? เธอจะไปนอนที่ไหนก็เรื่องของเธอ
แล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ.

ฆ่ากัน

ที่หนึ่ง,
ฆ่ากันในกล่องคอมเมนท์
เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่าเราเกลียดชัง

อีกที่หนึ่ง,
โพสต์รูปการฆ่ากันให้โลกเห็น 
เพื่อแสดงว่าความเกลียดชังหน้าตาเช่นไร.

เฝื่อน

สุดท้ายผมก็เช่าช่องสัญญาณคลื่นความถี่มาใช้จนได้ จริงๆ มันเป็นทางออกที่น่าจะดีที่สุด ถ้าหากผมยังอาลัยอาวรณ์กับมหานครที่แออัดไปทุกตารางนิ้วแห่งนี้ เดิมทีผมต้องการมันเพราะการจราจรนั้นสาหัสขึ้นทุกที จนถึงจุดที่การเสียค่าเช่ารายเดือนในราคามหาโหดนั้นคุ้มค่ากับการเสียเวลาชีวิตในยานพาหนะ

แต่สุดท้ายคลื่นความถี่ช่องส่วนตัวนี้กลับให้ประโยชน์ทางใจแก่ผมต่างหาก เรื่องมันเริ่มจากงานศพงานหนึ่ง…

เบ็นเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่อัธยาศัยดีและเป็นที่รักของเพื่อนฝูงพี่น้องมากมาย เขาเสียชีวิตกระทันหันในวัยที่ยังมีวันข้างหน้าอีกยาวไกล มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด อันที่จริงผมและเบ็นได้รู้จักมักคุ้นกันแค่ช่วงสั้นๆ สมัยที่เล่นละครเวทีนักศึกษากัน ผมจะต้อง stand by อยู่ข้างๆ เบ็น เช็คพรอพและเครื่องแต่งกายของเขาก่อนจะปล่อยคิวให้เบ็นขึ้นไปบนเวที

ละครสิบรอบทำให้เรามีความผูกพันธ์กันในห้วงเวลาสั้นๆ ที่เล่นซ้ำ เบ็นจะพูดไดอะล็อกเดิมก่อนปรากฏตัวขึ้นไปรับแสงไฟ โรงละครเป็นมิติประหลาดที่แตกต่างจากโลกข้างนอกนั่น

งานศพของเบ็นล้นหลามไปด้วยเพื่อนฝูงมากมาย ผมยืนสูบบุหรี่อยู่นอกศาลา รอเวลานำศพขึ้นเมรุ พลันเห็นหน้าเพื่อนร่วมรุ่นเดินตรงแหน่วมายังศาลา

“หวัดดี” ผมกล่าวกับหมิว เราไม่ได้สนิทอะไรกันมากนักแต่ก็ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งอะไรกันส่วนตัว

เธอเดินเลยผ่านเข้าไปในศาลาเสมือนผมเป็นวิญญาณ

ผมคิด… มันอาจจะมีเรื่องขัดแย้งบางเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวก็เป็นได้ หรือมีความผิดบาปประการใดที่ผมก่อไว้โดยไม่รู้ เหมือนในนิยายไงเล่า ผีมักจะมีช่วงเวลาที่ไม่รู้ตัวว่าตาย และวิญญาณร้ายมักไม่รู้ว่าตนทำผิดบาปประการใด

หรือหมิวอาจจะแค่เศร้า และไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทักทายเพื่อนเก่า

หากถามว่าความเศร้ามีสีอะไร หลายๆ คนคงบอกว่าสีเทา เพราะมันไม่ได้ชัดเจนเหมือนความมืดที่คงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากสีดำ แล้วรสชาติล่ะ ผมไม่แน่ใจว่าจะบรรยายอย่างไร เพราะน้ำตานั้นมีรสเค็ม ส่วนเลือดนั้นก็มีรสเหมือนโลหะปร่าแปร่ง

ใครสักคนยืนอยู่บนโพเดียมและกล่าวคำไว้อาลัยให้เบ็น การตายเป็นคล้ายการชำระ เรามีแต่เรื่องดีๆ ให้ระลึกถึง และอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าร่างกายอันผุพังจะถูกชำระด้วยเปลวไฟ หมิวนั่งอยู่ด้านหน้าเยื้องไปทางซ้าย ป่วยการที่จะนึกสงสัยว่าผมทำอะไรให้เธอโกรธเคือง แต่มันมีรสชาติของความเศร้าบางอย่างที่เฝื่อน เหมือนเวลาดื่มน้ำดื่มบรรจุขวดที่ทิ้งไว้นานเกินไป

เฝื่อน เหมือนเพื่อนที่เราได้มาจากการสุ่ม

ร่างของเบ็นกลายเป็นธุลีล่องลอยสู่เบื้องบน ก่อนจะฟุ้งกระจายและเจือจางกลับสู่ระบบทางเดินหายใจของคนในวัด การเผาครั้งนี้ใช้น้ำมันดีเซลประมาณ 200 ลิตร และเวลาอีกชั่วโมงครึ่ง เพียงเท่านี้โลกกายภาพก็มีที่ว่างเพิ่มขึ้นอีกนิด

แม่ของเบ็นนั่งก้มหน้าบนเก้าอี้พลาสติกอยู่ในศาลาที่ว่างเปล่า แขกเหรื่อกลับกันหมดแล้ว เหลือญาติๆ บางส่วนที่กำลังจัดเก็บสถานที่

ผมมองอยู่เงียบๆ สักครู่ จุดบุหรี่อีกมวน จึงสังเกตเห็นว่าแม่ของเบ็นกำลังหมุนจูนคลื่นความถี่และแนบหูฟังเสียง… หล่อนคงตามไล่คว้าชิ้นส่วนที่หลงเหลือของลูกชาย

แต่ถึงแม้วิทยาการจะก้าวหน้าถึงขนาดที่ว่าเราจำลองมิติเพื่อลดความแออัดได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ความตายนั้นซับซ้อนกว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ หากหล่อนโชคดี หล่อนอาจพบชิ้นส่วนเล็กๆ ที่กระจัดกระจายออกมาจากความทรงจำของเบ็น แต่นั่นหาใช่เบ็นไม่ มันจะเป็นเพียงเสียงที่ตกค้าง อาจเป็นประโยคไร้ความหมาย เสียงกระซิบ ตะโกนไร้ศัพท์ หรือกระทั่งเป็นส่วนผสมของหลายเศษส่วนแห่งดวงวิญญาณหลากหลายดวง

และนั่นคือสัญญาณที่บังคับให้เราต้องบอกลา เพราะส่วนที่แทนตัวตนของคนตายได้ดีที่สุดนั้นไม่ได้อยู่ข้างนอกนั่น แต่อยู่ในใจเราเอง

. . .

เช้าวันถัดมา ผมปรับช่องสัญญาณแล้วออกเดินทางไปบนท้องถนนด้วยรถอีโคคาร์กระป๋องที่เพิ่งผ่อนหมด ถนนวันอังคารโล่งเหมือนเช้าตรู่วันอาทิตย์ แต่ก็นึกสงสัยว่าในอนาคตเมื่อใครๆ ต่างก็เช่าช่องสัญญาณส่วนตัว มันจะวิกฤติขนาดไหนเชียวนะ ผมได้แต่ภาวนาให้การจัดสรรคลื่นความถี่นั้นมีกลไกตามหลักเศรษฐศาสตร์ ที่จะไม่ทำให้เราย้ายการจราจรคับคั่งจากโลกกายภาพมาสู่ความถี่นี้ แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้บ้าง ในอดีต การขยายพื้นผิวถนนเพิ่มที่เคยคิดว่าพอเพียงกับการขยายตัวของรถรา ก็ยังทำได้เพียงแก้ปัญหาชั่วคราว

ถึงออฟฟิศ ผมถอยจอดในซองประจำตัวและดับเครื่องยนต์ แต่ไฟสถานะบนหน้าปัทม์นั้นเตือนว่าผมยังคงอยู่ในคลื่นความถี่ส่วนตัวอยู่ ความเฝื่อนของมิตรภาพเมื่อเย็นวานนั้นยังฝังจำ ในขณะนี้มีคนกี่คน รถกี่คัน ที่อยู่ในคลื่นความถี่เดียวกับผมนะ?

ผมพยายามสอดตัวออกจากเข็มขัดนิรภัยแต่ไม่เป็นผล มันล็อกอัตโนมัติเนื่องจากไฟสัญญาณเตือน สุดท้ายต้องใช้มีดตัดกระดาษในกระเป๋าเอกสารตัดสายนิรภัยออก เมื่อเป็นอิสระจากความปลอดภัยแล้วจึงก้าวลงมาบนพื้นซีเมนต์ขัดมันของลานจอดรถด้วยร่างกาย ที่อยู่ในช่วงความถี่ที่ไม่มีอยู่จริง…หากไม่จ่ายรายเดือน

หมิว ผมแน่ใจว่าในช่วงคลื่นนี้ แม้จะบังเอิญขนาดไหนเราก็ไม่มีวันมองเห็นกัน เราจะเป็นเพียงความทรงจำของคนที่เคยรู้จักแต่ไม่สลักสำคัญ

เราจะเป็นเพียงผีของกันและกัน

น่าเสียดาย ผมฝันหวานได้เพียงชั่วครู่ ก่อนที่แบตเตอรีของเครื่องจำแนกความถี่จะหมด.

9 มีนาคม 2558
ด้วยความระลึกถึงพี่ใหม่ ก่อพงศ์ อิ่มเอิบ

อาจต้องแต่งเพลงไว้เล่นคนเดียว

อาจต้องแต่งเพลงไว้เล่นคนเดียว
คิดทั้งไลน์เบส กลอง กีตาร์
เสียงประสานที่แสนโดดเดี่ยว
ทั้งหมดอัดทีละชิ้นด้วยตัวคนเดียว
แล้วค่อยประกอบกันเหมือนความฝันเก่าเมื่อสามนาทีก่อน
นั่นเสียงร้องของผีที่หม่นเศร้ารอให้เราร้องประสาน
ผีตัวนั้นคือฉันเอง
ผีตัวนั้นร้องเพลงเพราะจัง
ฉันตีคอร์ดกีตาร์ตามเครื่องให้จังหวะ
แต่มันเร็วเกินไป

เมื่อฉันแต่งเพลงไว้เล่นคนเดียว
เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นต่างพิกลพิการ
ผีของวานก่อนกำลังอุดหู
ฉันจะแต่งเพลงทำไมไว้เล่นคนเดียว
สามนาทีเป็นแค่ส่วนเสี้ยวที่โผล่พ้นสามสิบปี
ของบทเพลงที่ไม่มีใครร้องเล่นอีกต่อไป

คุยได้หรือไหม้?

คุยกันสองสามคำก็เข้าใจ
เข้าใจว่าคุยกันไม่รู้เรื่อง
คุยกันสองสามคำก็หวั่นใจ
ว่าจะยิ่งโหมฟืนเติมไฟ

ฟังกันไปทำไม
ฟังเพราะหวังจะเข้าใจ
จะเข้าใจไปทำไม
ทำไงได้ เขาตัวใหญ่

ไฟ
หากไม่เผาอะไรสักอย่างก็จักไม่ใช่ไฟ
และสูญเสียมันไป

ฉันเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดภิกษุรูปนั้นจึงเผาตัวเอง

ขั้นตอนในการปั้นเหี้ยให้เป็นฮีโร่

ขั้นตอนในการปั้นเหี้ยให้เป็นฮีโร่

1. หยิบตัวเหี้ยมาสักตัวหนึ่ง ไม่เจาะจง หาได้ทั่วๆ ไป
2. หยิบแบบจำลองของฮีโร่ขึ้นมาเป็นเรฟเฟอเรนซ์ หากไม่แน่ใจว่าแบบไหนเหมาะ อาจใช้สายตาของนักสื่อสารมวลชน
3. ปั้น ขั้นตอนนี้ต้องใช้ความร่วมมือร่วมใจของมวลชนจำนวนมาก มือนับไม่ถ้วนช่วยปั้น คลึง ทุบ นวด ปั้นใหม่ จนกว่าจะพอใจ
4. จัดท่าทางให้สวยงามตามต้องการ จากนั้นรอให้คงตัว

ข้อควรระวัง: เมื่อคงตัวแล้วจะไม่สามารถจัดท่าทางใหม่ได้ หากฝืนจะแตกหักเสียหาย เป็นตำหนิทำให้สูญเสียมูลค่า