1 เพื่อน
เขามีเพื่อนมาก คบหากันมานาน เขารักเพื่อน และเพื่อนๆ ก็รักเขา แต่คนเพื่อนมากถึงวันหนึ่งก็หนี กรุงกลับมาตั้งรกรากที่บ้านเกิด
เหนื่อยมามาก จากพนักงานบริษัทควบอีกกะคือพ่อ ค้าส้มตำรถเข็น ต่อมาเช่าตึกแถว จนถึงวันที่ซื้อตึกเป็นของตัวเอ ง และจากนั้นก็มีสาขาถัดมา และถัดมา
จนกระทั่งเป็นสาขาสุดท้ายที่เขา คิดไว้ว่าเป็นที่ตาย บ้านเกิดแดนอีสาน
เขาเล่าเรื่องเก่าๆ เปื้อนยิ้ม หลานชายของเขาบอกทีหลังว่า โอ้ ลุงแกเล่าซ้ำไปซ้ำมา กี่หนแล้วก็ม่ายรุ
วงจรเพื่อนๆ ของเขา เรียกรวมๆ ได้ว่า พวกเพื่อชีวิต ซึ่งคุณก็คงจะรู้ดี ว่ายามนี้คนเป็นเพื่อนกันก็เกลี ยดกันไปมากแล้วด้วยพิษการเมือง
‘การเมือง’ คำๆ นี้ไม่หลุดออกมาเลยจากปากเขาแม้ แต่นิด แม้เราจะนั่งสนทนากันยาวนานจากม ื้อเย็นจนกระทั่งเข้านอน
“เพื่อนก็คือเพื่อนน่ะ” เขาว่างั้น
2 ชาวสวน
สามสี่ปีก่อนเขาทำนาแปลงหนึ่ง มาวันนี้เขาทำนาในที่ดินอีกผืนห นึ่ง ต่างสถานที่กันด้วยเหตุปัจจัยทำ นอง ‘ธรรมะจัดสรร’ แต่ก็ยังเหมือนเดิมอีตรงที่ เขาถางหญ้าด้วยมือ ไม่ใช้ยาเคมี หมาดำตัวมหึมาที่เป็นลูกรักของแ ม่ของเขา (เขาเคยบอกผมว่าแม่เขาเอ็นดูหมา ตัวนั้นมากกว่าเขาอีก) ตายไปแล้ว ด้วยวัย 16 ปี 4 เดือน
นาแปลงใหม่ของเขาอยู่ถัดจากไร่แ ตงโม
มันมีสารพัดสี สารพัดลาย สารพัดขนาด เขาบอกผมว่าก็ปลูกไปเรื่อยๆ จำไม่ได้หรอกว่าพันธุ์ไหนเป็นพั นธุ์ ไหน เหมือนเดิม..ไม่ได้ใช้ยา เขาบอกอีกว่าที่กรุงเทพฯ นี่ซื้อกินไม่ได้เลยนะ สับปะรดก็ด้วย พ่อของเขาปิดท้ายว่า “คนปลูกยังไม่กินเลย มีแต่คนโง่ที่ซื้อกิน”
ที่กระท่อมของเขามีโซลาร์เซลแผง หนึ่ง หลอดไฟสองดวง รองน้ำฝนดื่ม แฟนเขาผ่าแตงโมให้พวกเราชิม หวานเจี๊ยบ เนื้อเป็นทรายละเอียด ลมโชยมาจากที่ไกล ละอองแดดระยิบระยับนั้นบอกเราว่ าการทำไร่ทำสวนนั้นเหนื่อยจนลืม ความโรแมนติก
เด็กหญิงถามเขาว่านี่ใบอะไรคะ เขามองยอดของมัน กระถินไงจ๊ะ เขาว่าพลางเด็ดใส่ปากเคี้ยวกร้ว มๆ “นี่ไง กินมั้ย” เด็กหญิงชาวกรุงผู้ซึ่งเคยพูดว่ าอยากเป็นเด็กต่างจังหวัด, ส่ายหัว
“ไม่ได้อ่านหนังสือหรอกครับ วันไหนกรีดยางก็นู่น ตื่นตั้งกะตีสอง กรีดยางเสร็จก็ทำนู่นทำนี่ ถอนหญ้า ปลูกผัก สักพักก็แจ้ง”
การมาเยี่ยมเขาครั้งนี้ เราได้ข้าวสารกลับกรุงกันเป็นกร ะ สอบๆ ใบรางจืดตากแห้ง เห็ดหลินจือ กล้วยน้ำว้าหมักกากน้ำตาล (หมักเจ็ดวันจะเป็นเหล้าครับ แต่โหลนี้อยู่มาปีนึงแล้ว เป็นน้ำหมักป้าเช็งแล้วมั้ง ฮ่าฮ่า) และแตงโมลูกโตๆ อีกถุงใหญ่
ส่วนสิ่งที่เรานำไปฝากเขา คือหนังสือสามเล่ม เล่มหนึ่งเป็นเรื่องชาวอเมริกัน อินเดียน อีกเล่มเป็นรวมบทความเกี่ยวกับส ถานการณ์โลก เล่มสุดท้ายเกี่ยวกับพวกอนาธิปไ ตย
ผมเสียดายจับใจ ที่จริงน่าจะหยิบการ์ตูนเล่มบาง ๆ มาฝากเขามากกว่า
เขาให้เราแต่สิ่งที่กินได้
ส่วนเราให้เขาในสิ่งที่ไม่กินก็ ได้
3 เจ้าบ่าว
เขาใส่สูทสีเทา เสื้อกั๊กสีดำ ผมเซทไว้ลวกๆ แบบ wet look ด้วยเหงื่อของยามสาย
เสียงอีสานดังนำทางเราไปจนถึงบ้ านงาน ตรงปากทางมีซุ้มเล็กๆ ทำเป็นสัญลักษณ์บ้านงาน ซุ้มไม้หยาบๆ ประดับด้วยมะเบือเทศ แตงโม และฝักข้าวโพด
โห่ววววว ฮี้ โห่วววว ฮี้ โห่ววววววววววววว…
ฮิ้วววววว
พิธีกรเป็นคุณลุงสวมเสื้อโปโล ผ้าขะม้าสีสดคาดพุง กล่าวต้อนรับแขกเหรื่อและทักทาย คนในงาน สถานที่คือลานหน้าบ้านเจ้าสาว สักพักด้านในจะเป็นพิธีบายศรีสู ่ขวัญ
เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งเคียงกัน ญาติผู้ใหญ่ทยอยเข้าไปผูกข้อมือ ทีละคน ทีละคน
ไม่มีพรีเซนเท้ชั่น (เป็นใครมาจากไหน เจอกันยังไง รักกันที่ตรงไหน เป็นประวัติศาสตร์แบบทางการ) ไม่มีพิธีโยนดอกไม้ (ที่เพื่อนเราไม่ได้อยากออกไปรั บ แค่เดินออกไปให้ความร่วมมือเพื่ อเห็นแกเจ้าภาพ) ไม่มีเค้ก
เราไม่ได้อยู่จนถึงงานเลี้ยงตอน ค่ำ เจ้าภาพจึงแบ่งลาบ ผักหวานและเห็ด หมูย่าง พร้อมข้าวเหนียวใส่ถุงให้เราเอา กลับบ้าน
4 ลูกชาย
“เมื่อวาน โดนพ่อถีบ เข้าตรงอกเลย” เขาเล่ายิ้มๆ เหตุที่ได้ใกล้ชิดพ่อจนถูกถีบได ้ คือเขากำลังนวดขาให้ แล้วเกิดหงุดหงิดกันด้วยเรื่องเ ล็กน้อยตามประสาคนป่วย พ่อเลยถีบเข้าให้
เมื่อสามสี่ปีก่อนลูกชายคนนี้ก็ กลับมาดูแลคนป่วยเหมือนกัน แต่ครานั้นเป็นแม่
มาวันนี้แม่แข็งแรงดี ดูจะสาวขึ้นเสียด้วยซ้ำ คนเราเมื่อผ่านมรสุมมาได้ ก็เหมือนว่าแข็งแกร่งและมีชีวิต ชีวาขึ้น
เขาเดินออกมารับเราในชุดอยู่บ้า น กางเกงขาสั้น ผมยุ่งๆ และเหมือนจะหงอกเพิ่มขึ้นอีกหลา ยเส้น ดูผิดกับลุคฮิปสเตอร์กระแสรองที ่เป็นภาพจำ
เราหิ้วสุรามาฝากเขาหนึ่งขวด สำหรับคนอื่น ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคิดอย่างไร แต่สำหรับผม มันแปลว่า เฮ้ย กินนี่ไปพลางๆ เสร็จภาระแล้วกลับมาดื่มกัน
วิกฤติการณ์อะไรก็ไม่เท่าความเจ ็บ ความป่วย และความตายของคนในครอบครัว.
– – –
28062557