วันสุขสันต์ในบ้านหลังหนึ่ง #way

ตอนทำงานครบสิบปีไม่ได้เขียนบันทึกอะไรไว้เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ระฆังข้างในไม่ได้สั่น ไม่มีเสียงกริ๊งบอกสัญญาณใดเป็นพิเศษ

แต่ทุกปีที่ผ่านไป มีหลายมิตรสหายเคยถามด้วยความสงสัย ว่ามันเป็นยังไงน่ะ การอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆ

จำได้ว่ามักจะพูดว่า เราไม่เคยคิดลงหลักปักฐาน แต่ยังไม่มีแรงดึงดูดอื่นที่แรงพอดึงเราออกจากที่นี่ และทุกสิ่งที่ทำ ทั้งงานและชีวิต ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย (เพราะถ้ามันซ้ำๆ เราคงไปนานแล้ว)

ห้าปี? สิบปี? จากยี่สิบกลางๆ สู่สามสิบกว่าๆ หมุดหมายนามธรรมด้านเวลาไม่ค่อยสำคัญอะไรเท่าไหร่ มีแค่ความแปลกนิดๆ คือ เราเริ่มงานวันที่ 17 สิงหาคม (วันเกิดของภรรยา—ในอนาคต นี่ก็ความเปลี่ยนแปลง) มันเป็นกลางเดือนของการทำงานในกองนิตยสารรายเดือน ที่ปิดอาร์ทไปครึ่งเล่มแล้ว ก็น่าจะนึกภาพออก ของการมาถึงก็วิ่งเลยไม่มีเวลาให้วอร์ม

และตั้งแต่คอนนั้น เราก็จะมีนาฬิกาของการวิ่ง หยุด วิ่ง หยุด วิ่ง หยุด

จากแมกกาซีนกระดาษ สู่เวบไซต์ สู่คอนเทนต์ออนไลน์ วิดีโอสารคดี และอีเวนท์ ลูปเวลาของการ วิ่ง หยุด วิ่ง หยุด วิ่งหยุด ของเราก็มีจังหวะอิมโพรไวซ์น่างงงวยมากขึ้น ประหนึ่งเพลง math rock ไม่ใช่ ตึกๆ โป๊ะๆ ซ้ำๆ ย้ำๆ ซิมพลิฟายแบบเคยๆ

อะไรๆ ก็เปลี่ยน ชีวิต งาน ความสัมพันธ์ ครอบครัว มิตร เรื่องข้างนอก เรื่องข้างใน

และสิ่งที่สั่นระฆังข้างในให้ดังกังวานจนเราอยากบันทึกไว้ในวันนี้ วันที่อยู่ที่นี่มาครบ 4,163 วัน คือการที่มองเห็นวันวัยของเราสวมทับกับเงาในก๊วนเพื่อนร่วมงานรุ่นเยาว์ ตอนเราเริ่มที่นี่ เราอายุเท่ากับพวกเขาในวันนี้

ที่ผ่านมา สนุกกันมาแค่ไหน

เป็นเรื่องดีมากๆ ที่มิตรที่เข้ามาทำงานพร้อมๆ กัน รำลึกภาพบางภาพให้กระตุกคิด และเป็นเรื่องน่ายินดี ที่เรายังไม่ลืมตัวเองเมื่อก่อน

และมองเห็นเราในเขา และมองเห็นเขาในเรา

อะไรๆ ย่อมต้องเปลี่ยน ความหลากหลายคือสิ่งสวยงาม และชีวิตก็คืองาน ความสำราญคือการอิมโพรไวซ์

บันทึกไว้ ไหนๆ ระฆังก็ดังทั้งที ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรเปลี่ยนไปอีก

แพ้

สัปดาห์ที่ผ่านมางานยุ่งทับถมมาก ไม่รู้เกี่ยวไหมแต่จู่ๆ ผื่นคล้ายๆ ลมพิษก็ขึ้นไม่มีสาเหตุ ขึ้นตอนช่วงเย็นๆ คัน กลางดึกก็มักจะคันเป็นบางจุด ต้นขา สีข้าง บางทีก็ที่เท้า

เช้าจะยังคันเล็กน้อย กลางวันก็หาย ก่อนจะเริ่มคันใหม่ช่วงค่ำๆ

เป็นลูปอย่างนี้ บางทีสองวันติดกัน บางทีเว้นไปวันสองวัน

ไม่รู้เหมือนกันว่าแพ้อะไร เพราะคันทั้งที่บ้านและออฟฟิศ

เมื่อวานแปลกกว่าเดิม เริ่มคันบริเวณปาก (คันนิดหน่อย) ตอนสามสี่โมง ขณะกำลังนั่งทำงานในร้านแพน (แอร์หนาวมาก ข้างนอกฝนตก) แล้วก็น้ำมูกไหล

กลับบ้านมาเลยกินยาแก้แพ้ เพราะอาการคือแพ้จริงๆ แต่ก็ไม่รู้แฮะว่าแพ้อะไร

การแพ้อากาศนี่เราแพ้อะไรในอากาศนะ ฝุ่น? ละอองเกสร? กลิ่น? อุณหภูมิ? ความชื้นสัมพัทธ์?

ไม่แน่ใจ ไม่ชัดเจน

แต่อีกอาการแพ้ที่ไม่ใช่น้ำมูก แต่เกิดที่ความรู้สึก ทำให้เศร้าๆ ซึมๆ บอกไม่ถูก คือยามพลบที่ฟ้าเปลี่ยนสี

อุณหภูมิแสงทำให้เราเศร้า เศร้าจริงๆ แบบไม่ได้พยายาม

ดีที่จังหวะเวลานั้นไม่ได้ยาวนาน และถ้าอยู่ในห้องที่เปิดไฟสว่างคงเดิมตลอด (เช่นที่ออฟฟิศ) เราจะไม่รู้สึกอะไร

ป้อม

“แล้วนี่มายังไง” ป้อมถาม
“โบกแทกซี่มา”
“ป่านนี้แล้ว ยังไม่มีรถส่วนตัวอีก” ป้อมพูดยิ้มๆ
เขาเลยยิ้มตอบ

“แล้ว ทำไรอยู่ล่ะ” ภาพฝังแน่นในช่วงวัยหนุ่มคือ พระป้อม พระหนุ่มร่างสันทัด หน้าคม ผิวสองสี ยิ้มสวยโชว์ฟันเป็นระเบียบ
“นู่นไง” เขาบุ้ยหน้าไปที่ตึกแถวสีชมพูอมม่วง ใหม่เอี่ยม ยังมีริ้วรอยของการก่อสร้างยังไม่เสร็จ
“คิดค่าเช่าเดือนเท่าไหร่อะ”
“สองพันสี่ สองพันสอง สองพันหนึ่ง… เอาสักห้องมั้ยล่ะ” ป้อมยิ้มอีกแล้ว
ครานี้ เขาหัวเราะหึหึเป็นคำตอบ

ช่างรังวัดมากันห้าหกคน มีหัวหน้าทีมที่น่าจะมาจากกรมที่ดิน หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นชายกลางคนคนเดียวที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่  ที่เหลือเหมือนคนหนุ่มแถวๆ นั้นที่ไม่จำเพาะเจาะจงว่าประกอบอาชีพอะไร ถ้าเขาใส่เสื้อกั๊ก ก็จะกลายร่างเป็นวินมอไซ ถ้าถือไม้ที เขาอาจเป็นผู้รับเหมา หรือถ้ามีพร้าสักเล่ม อาจเพิ่งเดินออกมาจากสวน

พวกเขาบ่นกันอุบอิบ มีปัญหาอะไรสักอย่างเรื่องภาพถ่ายดาวเทียม พวกเขากางโฉนด เดินวนๆ แถวเสาเพื่อมองหาหลักเขต สักพักก็เจอ จึงโยงสายวัดวัดตามระยะที่กำหนดในโฉนด คนที่เหลือเอาเหล็กเส้นที่ใช้ปักเขตเขี่ยดินเขี่ยทรายไปเรื่อยแก้เซ็ง

เขาเดินดูช่างรังวัดทำงานอย่างที่ไม่รู้จะทำอะไร ถนนสายหนึ่ง ที่แปลงหนึ่ง หักโค้งเก้าสิบองศาเข้ามาไม่ถึงร้อยเมตร แล้วหักอีกที เป็นโค้งประหลาด วันนี้ช่างมารังวัดเพราะเจ้าของที่ดินบอกว่า ไม่ค่อยสบายใจ เหมือนถนนมันล้ำเข้าไปในที่

เขาเดินตากแดดดูโน่นดูนี่ เนื่องจากถนนยาวไม่ถึงร้อยเมตรสายนี้ เป็นกรรมสิทธิของมารดา

สักพักมีชายร่างผอมฟันเกไร้ระเบียบเดินมาชวนให้เข้าไปนั่งในบ้าน “มาดื่มน้ำดื่มท่าก่อนครับ”

อันที่จริงมันก็ไม่ใช่บ้าน มีแค่เสาและหลังคา และกองวัสดุเหลือใช้ พื้นเป็นดินแข็ง ชายร่างผอมตักน้ำจากกระติกมาให้ดื่ม แก้วเมลามีนหูหักที่ใส่น้ำมามีรอยฝังแน่นชนิดฝังจำมาตั้งแต่บรรพกาล

แมลงวันสองสามตัวบินหนีไปอย่างเกียจคร้าน

เขาคลับคล้ายคลับคลา พอชายร่างเล็กแนะนำตัว เขาจึงร้องอ๋อ ชื่อ-สกุล ของเขาปรากฏในเอกสารที่ทางการส่งมา เรียกให้มาดูเจ้าหน้าที่ทำการรังวัด ชายร่างเล็กเป็นเจ้าของที่ดิน

ซอยตรงข้ามมีชื่อซอยเหมือนนามสกุลของเขา

วินมอเตอรไซค์ในเพิงถัดไปก็มีชื่อวินเหมือนชื่อซอย

“ที่แปลงข้างในนั่นยังเหลือขายไหม” เขาเริ่มเรื่องตามประสานายหน้าที่ดี

“นี่แน่ะ ถ้าตัดถนนตรงปู๊นเข้าไปทะลุถึงซอยวัด ราคาที่ตรงนี้จะขึ้นปรู๊ดอีก แล้วก็น่าจะยกให้เป็นถนนสาธารณะซักที อบต. จะได้มาดูแลให้มันเรียบร้อย”

ไว้เดี๋ยวถามป้าให้นะครับ เขาตอบส่งๆ ไปอย่างนั้น

. . .

เขาเดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่รังวัดว่าเสร็จรึยัง
“เจอหลักเขตหมดแล้ว มันก็ตามโฉนดอะนะ จะเซ็นรับรองเลยมั้ย”

ชาวสวนคนหนึ่งเคยแบ่งที่เป็นเก้าแปลงมอบให้พี่น้องเก้าคน มันเป็นที่ตาบอด และถนนเจ้ากรรมที่มีรัศมีโค้งประหลาดเหมือนกิ้งกือดิ้นทุรนนั้น แลกมาด้วยที่กว่าสามไร่

“เดี๋ยวอีกหน่อยก็ต้องเซ็นยกเป็นสาธารณะอยู่ดี นี่จะไปทำเรื่องเสาไฟ จะย้ายหม้อแปลงก็ยังทำไม่ได้
ไว้อีกหน่อยนะ ตอนนี้มันคงเจ็บ เจ็บมาเย้อะ” ป้อมพูดกลั้วหัวเราะ เขายิ้มสวยจริงๆ

เขานึกถึงวัยเด็ก ทางดินตรงเข้าไปบ้านยายมีมะม่วงสองข้างทางรกครึ้ม ถัดจากแนวมะม่วงคือบ่อปลาสะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบ นานมาแล้ว นานแสนนานเมื่อครั้งที่พวกเขาเคยเล่นน้ำในคลองสายที่ไหลผ่านหน้าบ้าน (ก่อนจะต้องสัญจรผ่านถนนโค้งประหลาดนี้) ป้อมและพี่ชายป้อมเป็นเพื่อนวัยเด็กที่ชวนเขาเล่นอะไรสนุกๆ อยู่เรื่อย

นานมาแล้ว เขายังจำเรือไม้ลำเล็กๆ ที่พ่อของทั้งสองทำให้เล่น มันแกะมาจากไม้ก้อน มีรูปทรงเหมือนเรือขุด ขนาดประมาณยี่สิบเซ็นได้ ป้อมจะถือเชือกลากเรือไปตามสายน้ำยามนั่งเรือหางยาวกลับบ้าน เรือลำน้อยแล่นฉิว

“เรียบร้อยแล้วนะครับ” เขาเซ็นรับรองการรังวัดแทนมารดา กล่าวลา และเดินไปยังซุ้มวินมอเตอร์ไซค์.

WAY#90

สองอาทิตย์แล้วสินะ นับจากวันที่คิดว่ากำลังปิดเล่ม

เก้าปีอาจไม่มากเท่าไหร่ หากเปรียบเป็นเด็กน้อยก็เป็นวัยที่กำลังมีคำถามน่าปวดหัวเลยเทียวแหละ เจ้าหนูหัวอ่อนถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง เจ้าหนูคนที่มีพ่อแม่เป็นวีรษุรุษกำลังเริ่มมีคำถาม คำถามที่เราเองอาจนิ่งไปสักสองวิ ก่อนจะบอกว่า “ไม่รู้แฮะ เดี๋ยวขอไปหาความรู้ก่อนมาตอบหนูหน่อยนะ”

เจ้าหนูเกิดในปีที่ฟ้าเปลี่ยนสี ทหารหนุ่มนายหนึ่งยืนขรึมอยู่ตรงมุมขวาล่างของปก ปากกระบอกปืนของเขามีริบบิ้นสีเหลืองผูกอยู่ เราเฉยๆ เพราะมันเหมือนไม่เคยปล่อยกระสุน …แต่ที่ไหนได้ ในอีกไม่กี่ปีถัดมาจะมีแต่เรื่องเศร้า

จากวันนั้นที่เราควบจักรยานตะบึงลงไปบนท้องถนน มีหลายหนที่เราเจ็บ เพราะหลายชีวิตบาดเจ็บอย่างที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จากวันนั้นที่เรารู้ว่าท้องถนนไม่ใช่ที่ของคนตัวเล็ก เราพยายามหาหาหนทางใหม่ๆ พบเจออะไรหลากหลาย และในแต่ละทางแยก เราก็จักต้องเลือกเสมอว่าจะไปทางไหน

เก้าปีผ่านไป บางคนก็อาจเสียใจอยู่บ้างที่เคยหลงทาง แต่ในทุกขณะที่เราเคลื่อนไป มันก็คือทางที่เลือกเอง

เก้าปีแล้วเรายังไปไม่ถึงไหน ทางบางทางยังอีกยาวไกล

อยากจะจบท้ายด้วยประโยคให้ความหวังและกำลังใจ แต่เก้าปีนับว่าสั้นเกินไป..

เราเพิ่งถึงวัยตั้งข้อสังเกตตั้งข้อสงสัย และมองเห็นความเป็นไปได้ที่มากกว่าพ่อแม่บอกเอาไว้ — เท่านั้นเอง

17082015

ทุ่มนิดๆ ขณะเรากำลังเดินเข้าพารากอนจากทางเชื่อม BTS เสียงขบวนรถหวอดังมากแล่นฉิวผ่านไป เรายังไม่รู้เรื่องว่ามีอะไรเกิดขึ้น

ทำธุระภายในห้างสักพัก ข่าวสารเริ่มปรากฏในเฟซบุ๊คและไลน์ แม่โทรมาหาถามว่าอยู่ไหน

สักสองทุ่มเราเดินกลับออกมา คนมหาศาลออกันบริเวณแลกเหรียญ กดตั๋วโดยสาร

ภาพสยดสยองนั้นสร้างอารมณ์ ข่าวสารมหาศาลนั้นก็ไม่ได้สร้างความเข้าใจอะไร เพราะไม่มีใครรู้อะไรมากกว่าเขาเล่าว่า แต่ทุกคนดูอยากไปให้พ้นจากแถวนั้น

ขณะที่รอแฟนเติมเงินลงบัตร ก็เจอปอพอดี ปอรีบมาจากสะพานควาย เพื่อจะไปตามหาโน้ตที่โรงพยาบาลตำรวจ

หมีมาสมทบ ขณะนั้นที่เราลา แยกกลับบ้านก่อน ทั้งคู่รออุ๋มอีกคน

เพื่อนในกลุ่มสถาปัตย์คุยกันด้วยความเป็นห่วงในกรุ๊ปไลน์

เริ่มจะโล่งอกเมื่อมีเพื่อนแจ้งข่าวว่า เจอตัวเมย์แล้ว อยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ บาดเจ็บ และเหมือนจะขาหัก

บางส่วนอาสาแยกย้ายกันไปตามหาโน้ตตามโรงพยาบาลต่างๆ

จนกระทั่งสี่ทุ่ม อุ๋มไลน์บอกว่าเจอโน้ตแล้ว อยู่โรงพยาบาลกลาง

เพื่อนทั้งสองกลุ่มรายงานสถานการณ์เรื่อยๆ มีการย้ายโรงพยาบาล ผ่าตัดเอาสะเก็ดระเบิดออก และพักในห้อง ICU

. . .

รุ่งขึ้นก็ตามเคย ข่าวสาร ความเกลียดชัง กำลังใจ การคาดเดา อำนาจรัฐที่ไม่สามารถให้ความหวัง ภาพสยดสยอง พุ่งปะทะเราจากทุกทิศทุกทาง

โล่งอกไปนิดหน่อย ที่เพื่อนทั้งคู่ปลอดภัย
ไม่ว่าจะมืดมนแค่ไหน เราต่างต้องการจะสร้างอนาคต

ผมนึกถึงเรื่องสั้นเก่าๆ ที่เคยเขียนไว้

มันเป็นประโยคที่ไม่จริง แต่เราก็ยังภาวนา ว่าขอให้ ‘ทุกคน’ ปลอดภัย

270615

เสาร์นี้ดี แม้สังคมการเมืองจะไม่ดี

เราเริ่มวันกันที่ the reading room กอล์ฟนัดไปดูโปรแกรมหนังของ john torres ผู้กำกับชาวฟิลิปปินส์ หนังของเขาเหมือนบทกวีประกอบวิดีโออาร์ต ผู้คนบ่นงึมงำใส่กล้อง เล่าเรื่องด้วยบทบรรยายให้อ่านเหมือนภาพยนตร์ขาวดำโบราณ

หลังจบโปรแกรมหนังสั้น พี่ชายหันกลับมาบอกว่า ดูยากหน่อยนะ

“ไม่หน่อยอะพี่!”

จบ todo todo tolos เราออกมาจากห้อง ชัชพลตามมาจอยตอนครึ่งเรื่องหลัง เราจึงไปสวนเงินมีมาต่อ มีบรรยายของอาจารย์ประจักษ์ ในงาน 70 ปี สุชาติ สวัสดิ์ศรี เจอชาวเวย์และคนคุ้นๆ สักพักมีอ่านแถลงการณ์ เฮกันใช้ได้ พี่เป้ของเราตอบคำถามนักข่าว แรกๆ ก็เรียบๆ จากนั้นเหมือนเปลี่ยนเกียร์พูดรัวเร็วระบายจนตัวสั่น

เจออิฐ ที่มาฟังบรรยายช่วงบ่าย เลลลากกันไปลงเรือข้ามฟาก จะไป speedy grandma ระหว่างลอยเท้งเต้งอยู่กลางเจ้าพระยา พลุขุดใหญ่ก็ถูกจุดจากฝั่งโรงแรมเชอราตัน (?) สวยดีแบบประจวบเหมาะ

คุณย่าซิ่ง แอบอยู่ในซอกตึกแถวเงียบงัน เราเดินดูวนสองรอบ จ๊ะก็มา เลยไปหาอะไรดื่มกัน อิฐพาเดินไปร้าน soul bar เล็กๆ ตกแต่งสวย เก้าอี้มีแต่สตูลเหล็กที่สงสัยใช้ชิ้นส่วนจากเชียงกงมาประกอบ เจ้าของร้านดูเหมือนฮิปสเตอร์แถวบรูคลิน เดินมาแนะนำเบียร์ เลยได้ american craft มาขวด สักพักวงมาเล่น ชื่อ the low downs หรืออะไรสักอย่าง คนมาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ร้านนี้ฮิตอยู่เหมือนกัน คราฟท์หมดก็กลับไปซบลีโอสด (เงินเดือนออกรุ่งขึ้น)

ไอ้กอล์ฟบอกดีมาก อิฐดูจะเอนจอย เราชอบอยู่แล้ว นานๆ เจอเพื่อนที

ขากลับกะจ๊ะ เกือบได้แวะปากทางลาดพร้าวแล้ว แต่แยกย้ายดีกว่า วันนี้กำลังดี

สังคมเผด็จการนี่แหละ ทำให้เราไขว่คว้าและรู้สึกมาก…กับความสุขธรรมดาๆ เล็กๆ

   
             

09112014

สามสี่มื้อ หนึ่งสังสรรค์ หนึ่งสระน้ำ หลายขวด หลายกลม น้ำแข็งมากมายปานกระเทาะจากขั้วโลกใต้แต่ก็ยังไม่พอบรรเทาความร้อนเร่าของกลางวัน ยังดีที่มีกลางคืนให้เสียงเพลงคลุมไว้บางบาง

นานมาแล้วเคยนึกอยากบันทึกอย่างซื่อตรงเป็นลายลักษณ์อักษร แต่บางทีเรื่องจริงก็ไม่ได้บรรจุความจริง และบางความจริงก็ไม่มีประโยชน์อะไร ต่อมาจึงพบว่าแค่จำไว้หลวมๆ ก็น่าจะเพียงพอ เป็นภาพถ่าย 3X5 ที่แปะฝาผนังไว้ แสงแดดลามเลีย แต่ไม่เป็นไร

ฉะนั้นจึงไม่มีเรื่องเล่าที่ชัดเจน ไม่มี ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ทำไม
ก็แค่คนกลุ่มหนึ่งที่มีเส้นทางตัดกัน ณ จุดนัดพบ
แล้วใช้จุดนั้นเป็นพิกัดอ้างอิงตำแหน่งแห่งที่ของตัวตน — สัตว์ประหลาดที่โดนเวลาฉุดลากให้เดินหน้าไปไกลห่างจากจุดตัดเก่าเก่า

สัตว์ประหลาดมีเขี้ยวมีหนัง มีเกล็ดมีกรามมีหางมีเขา
มีซิปที่กลางหลัง
รูดพลันกระโดดตูมลงสระน้ำ

สบาย.

อีจี้ 2 ปี แอนิเวอซารี่

IMG_2757

แถวๆ นี้มีสัตว์เลี้ยงแบบที่ไม่ต้องเลี้ยง กล่าวคือ ทำงานเบื่อๆ ผมสามารถเดินแหย่แมวเพื่อบำบัดได้ โดยไม่ต้องเสียตังค์ค่าอาหาร หยูกยา หรือว่าพาไปทำหมัน

ในวาระครบสองปีที่เลี้ยงแมวให้กลายเป็นหมู (ย้ำอีกครั้งว่าผมไม่ได้เลี้ยง เป็นคนเสพเฉยๆ) เลยอยากบันทึกสั้นๆ ไว้ในหัวข้อ ‘เหตุผลแห่งการดำรงอยู่’

อีจี้เมื่อสองปีก่อนยังไม่มีชื่อ แต่มาร้องแง้วๆ อยู่นอกประตูกระจก ผมเจอมันตอนเย็นก่อนจะกลับบ้าน ทักทายกันสักครู่ก็ทางใครทางมัน แต่ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น มันกลายเป็นแขกของออฟฟิศเสียแล้ว ในห้วงสั้นๆ นั้นมันมีหลายชื่อ เช่น หางยาว (หน้ากาก)โซโร แม้ว ฯลฯ จนสุดท้ายกลายเป็นจี้ได้อย่างไรไม่ทราบ และหลังจากตบตีกับป้าผิงเจ้าถิ่นจนจัดสรรอาณาเขตกันลงตัวแล้ว เราก็ไม่ต้องเช็ดฉี่เรี่ยราดของมันทั้งคู่อีกต่อไป

ช่วงนั้นอีจี้ก็เป็นแมวธรรมดาๆ ที่ชอบกระโดด ล่อด้วยไม้ล่อแมวก็กระโจนตัวลอยเยี่ยงแมวไฮเปอร์ ปราดเปรียวแก่นเซี้ยวแสนซน จนกระทั่งถึงฤดูแห่งความงุ่นง่านหนแรก…

มันครางโหยหวนน่าสงสาร สำเนียงส่อไปในความมืดดำอันแสนเย้ายวน โก่งบั้นท้ายขึ้น สั่นระริก.. คะเนด้วยสายตา เราว่าน้ำหนักมันน่าจะเพิ่มขึ้นจากวันแรกสักสองสามขีด มีน้ำมีนวล ขนเงางามหนาแน่น (จี้มีขนสองชั้น สงสัยจะมีเชื้อแขกเปอร์เซีย) คาดว่าหากได้ระเริงรัก สภาพร่างกายสมบูรณ์ปานนี้ เราได้อุ้มลูกแมวเพิ่มแหงๆ

คืนนั้น.. มันก็กระโจนหนีออกหน้าต่างไป

รุ่งขึ้น ดูจากสภาพสะบักสะบอมหางแหว่งกลับมา เดาว่าคงไม่ใช่คืนที่สวยงามสักเท่าไร (หางยาวๆ โดนกัด เป็นแผลอยู่นาน กว่าขนหางจะขึ้นเต็มก็หลายสัปดาห์)

แต่..อีจี้ไม่ท้อง

พอหมดฤดูกาล มันจึงถูกตอน และตั้งแต่นั้น อีจี้ก็ไม่ใช่แมวอีกต่อไป

ลองสังเกตรูปถ่ายดูได้ นับจากวันที่อีจี้สูญเสียเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ มันก็อ้วนเอา อ้วนเอา ไม้ล่อแมวก็ล่ออีจี้ไม่ได้ผล มันไม่กระโจนไฮเปอร์เสียสติแบบเมื่อก่อน มันอาจจะเล่นบ้างพอให้คนดีใจหายเป็นห่วง (หากได้ดูรูป จะเห็นว่ามันนอนเล่น!)

ที่แปลกที่สุดก็คือ มันเริ่มมีสีหน้าครุ่นคิด..

แมวทำหมันแล้วจะมีสีหน้าแบบนั้น? มันคิดอะไรสักอย่างอยู่ เมื่อเลิกยี่หระ ถอนตัวออกจากความวุ่นวายของโลกใบนี้ เลิกแข่งขันยื้อแย่งผสมพันธุ์ ก็มีเวลาเหลือเฟือให้ครุ่นคำนึงถึงสารัตถะแห่งตัวตน?

มันเลิกหงี่ ไม่งุ่นง่าน เลิกร้องครวญครางใดๆ (มีแต่เสียง มิ.. มิ้ว.. เสียงเล็กเสียงน้อยพอเพียงแก่การสื่อสาร) เดินแวะเวียนไปที่ชามอาหารวิเศษที่สามารถเสกวิสกัสได้ หากกระหายก็มีตาน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้ง (ชักโครกห้องน้ำชาย)

หากร้อน ก็เดินมาเฝ้าประตูรอเข้าห้องแอร์ สักพักก็เดินมาเฝ้าประตูรอออกจากห้องแอร์ วนเวียนไปตามแต่ใจสั่งมา

นานนานทีเมื่อประตูดาดฟ้าเปิด ก็วิ่งจู๊ดขึ้นไปสูดอากาศ เล็มใบไผ่อ่อน รวมทั้งคลุกดินคลุกสารอินทรีย์ ทักทายแบคทีเรีย

อีจี้ไม่เห็นความจำเป็นใดๆ ในการออกไปข้างนอก สิ่งเร้าอันแรงกล้าที่สุดถูกตอนไปสิ้นแล้ว และเหตุผลของการดำรงอยู่ก็เหลือเพียง

วันนี้ – ตอนนี้ – โอเคดี – มิ้ว..

บันทึก : อีสาน 2 วัน

1 เพื่อน

เขามีเพื่อนมาก คบหากันมานาน เขารักเพื่อน และเพื่อนๆ ก็รักเขา แต่คนเพื่อนมากถึงวันหนึ่งก็หนี กรุงกลับมาตั้งรกรากที่บ้านเกิด

เหนื่อยมามาก จากพนักงานบริษัทควบอีกกะคือพ่อ ค้าส้มตำรถเข็น ต่อมาเช่าตึกแถว จนถึงวันที่ซื้อตึกเป็นของตัวเอ ง และจากนั้นก็มีสาขาถัดมา และถัดมา

จนกระทั่งเป็นสาขาสุดท้ายที่เขา คิดไว้ว่าเป็นที่ตาย บ้านเกิดแดนอีสาน

เขาเล่าเรื่องเก่าๆ เปื้อนยิ้ม หลานชายของเขาบอกทีหลังว่า โอ้ ลุงแกเล่าซ้ำไปซ้ำมา กี่หนแล้วก็ม่ายรุ

วงจรเพื่อนๆ ของเขา เรียกรวมๆ ได้ว่า พวกเพื่อชีวิต ซึ่งคุณก็คงจะรู้ดี ว่ายามนี้คนเป็นเพื่อนกันก็เกลี ยดกันไปมากแล้วด้วยพิษการเมือง

‘การเมือง’ คำๆ นี้ไม่หลุดออกมาเลยจากปากเขาแม้ แต่นิด แม้เราจะนั่งสนทนากันยาวนานจากม ื้อเย็นจนกระทั่งเข้านอน

“เพื่อนก็คือเพื่อนน่ะ” เขาว่างั้น

IMG_2314-r

2 ชาวสวน

สามสี่ปีก่อนเขาทำนาแปลงหนึ่ง มาวันนี้เขาทำนาในที่ดินอีกผืนห นึ่ง ต่างสถานที่กันด้วยเหตุปัจจัยทำ นอง ‘ธรรมะจัดสรร’ แต่ก็ยังเหมือนเดิมอีตรงที่ เขาถางหญ้าด้วยมือ ไม่ใช้ยาเคมี หมาดำตัวมหึมาที่เป็นลูกรักของแ ม่ของเขา (เขาเคยบอกผมว่าแม่เขาเอ็นดูหมา ตัวนั้นมากกว่าเขาอีก) ตายไปแล้ว ด้วยวัย 16 ปี 4 เดือน

นาแปลงใหม่ของเขาอยู่ถัดจากไร่แ ตงโม

มันมีสารพัดสี สารพัดลาย สารพัดขนาด เขาบอกผมว่าก็ปลูกไปเรื่อยๆ จำไม่ได้หรอกว่าพันธุ์ไหนเป็นพั นธุ์ ไหน เหมือนเดิม..ไม่ได้ใช้ยา เขาบอกอีกว่าที่กรุงเทพฯ นี่ซื้อกินไม่ได้เลยนะ สับปะรดก็ด้วย พ่อของเขาปิดท้ายว่า “คนปลูกยังไม่กินเลย มีแต่คนโง่ที่ซื้อกิน”

ที่กระท่อมของเขามีโซลาร์เซลแผง หนึ่ง หลอดไฟสองดวง รองน้ำฝนดื่ม แฟนเขาผ่าแตงโมให้พวกเราชิม หวานเจี๊ยบ เนื้อเป็นทรายละเอียด ลมโชยมาจากที่ไกล ละอองแดดระยิบระยับนั้นบอกเราว่ าการทำไร่ทำสวนนั้นเหนื่อยจนลืม ความโรแมนติก

เด็กหญิงถามเขาว่านี่ใบอะไรคะ เขามองยอดของมัน กระถินไงจ๊ะ เขาว่าพลางเด็ดใส่ปากเคี้ยวกร้ว มๆ “นี่ไง กินมั้ย” เด็กหญิงชาวกรุงผู้ซึ่งเคยพูดว่ าอยากเป็นเด็กต่างจังหวัด, ส่ายหัว

“ไม่ได้อ่านหนังสือหรอกครับ วันไหนกรีดยางก็นู่น ตื่นตั้งกะตีสอง กรีดยางเสร็จก็ทำนู่นทำนี่ ถอนหญ้า ปลูกผัก สักพักก็แจ้ง”

การมาเยี่ยมเขาครั้งนี้ เราได้ข้าวสารกลับกรุงกันเป็นกร ะ สอบๆ ใบรางจืดตากแห้ง เห็ดหลินจือ กล้วยน้ำว้าหมักกากน้ำตาล (หมักเจ็ดวันจะเป็นเหล้าครับ แต่โหลนี้อยู่มาปีนึงแล้ว เป็นน้ำหมักป้าเช็งแล้วมั้ง ฮ่าฮ่า) และแตงโมลูกโตๆ อีกถุงใหญ่

ส่วนสิ่งที่เรานำไปฝากเขา คือหนังสือสามเล่ม เล่มหนึ่งเป็นเรื่องชาวอเมริกัน อินเดียน อีกเล่มเป็นรวมบทความเกี่ยวกับส ถานการณ์โลก เล่มสุดท้ายเกี่ยวกับพวกอนาธิปไ ตย

ผมเสียดายจับใจ ที่จริงน่าจะหยิบการ์ตูนเล่มบาง ๆ มาฝากเขามากกว่า

เขาให้เราแต่สิ่งที่กินได้
ส่วนเราให้เขาในสิ่งที่ไม่กินก็ ได้

 

IMG_2344-r

 

3 เจ้าบ่าว

เขาใส่สูทสีเทา เสื้อกั๊กสีดำ ผมเซทไว้ลวกๆ แบบ wet look ด้วยเหงื่อของยามสาย

เสียงอีสานดังนำทางเราไปจนถึงบ้ านงาน ตรงปากทางมีซุ้มเล็กๆ ทำเป็นสัญลักษณ์บ้านงาน ซุ้มไม้หยาบๆ ประดับด้วยมะเบือเทศ แตงโม และฝักข้าวโพด

โห่ววววว ฮี้ โห่วววว ฮี้ โห่ววววววววววววว…
ฮิ้วววววว

พิธีกรเป็นคุณลุงสวมเสื้อโปโล ผ้าขะม้าสีสดคาดพุง กล่าวต้อนรับแขกเหรื่อและทักทาย คนในงาน สถานที่คือลานหน้าบ้านเจ้าสาว สักพักด้านในจะเป็นพิธีบายศรีสู ่ขวัญ

เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งเคียงกัน ญาติผู้ใหญ่ทยอยเข้าไปผูกข้อมือ ทีละคน ทีละคน

ไม่มีพรีเซนเท้ชั่น (เป็นใครมาจากไหน เจอกันยังไง รักกันที่ตรงไหน เป็นประวัติศาสตร์แบบทางการ) ไม่มีพิธีโยนดอกไม้ (ที่เพื่อนเราไม่ได้อยากออกไปรั บ แค่เดินออกไปให้ความร่วมมือเพื่ อเห็นแกเจ้าภาพ) ไม่มีเค้ก

เราไม่ได้อยู่จนถึงงานเลี้ยงตอน ค่ำ เจ้าภาพจึงแบ่งลาบ ผักหวานและเห็ด หมูย่าง พร้อมข้าวเหนียวใส่ถุงให้เราเอา กลับบ้าน

 

IMG_2322-r

IMG_2338-r

 

4 ลูกชาย

“เมื่อวาน โดนพ่อถีบ เข้าตรงอกเลย” เขาเล่ายิ้มๆ เหตุที่ได้ใกล้ชิดพ่อจนถูกถีบได ้ คือเขากำลังนวดขาให้ แล้วเกิดหงุดหงิดกันด้วยเรื่องเ ล็กน้อยตามประสาคนป่วย พ่อเลยถีบเข้าให้

เมื่อสามสี่ปีก่อนลูกชายคนนี้ก็ กลับมาดูแลคนป่วยเหมือนกัน แต่ครานั้นเป็นแม่

มาวันนี้แม่แข็งแรงดี ดูจะสาวขึ้นเสียด้วยซ้ำ คนเราเมื่อผ่านมรสุมมาได้ ก็เหมือนว่าแข็งแกร่งและมีชีวิต ชีวาขึ้น

เขาเดินออกมารับเราในชุดอยู่บ้า น กางเกงขาสั้น ผมยุ่งๆ และเหมือนจะหงอกเพิ่มขึ้นอีกหลา ยเส้น ดูผิดกับลุคฮิปสเตอร์กระแสรองที ่เป็นภาพจำ

เราหิ้วสุรามาฝากเขาหนึ่งขวด สำหรับคนอื่น ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคิดอย่างไร แต่สำหรับผม มันแปลว่า เฮ้ย กินนี่ไปพลางๆ เสร็จภาระแล้วกลับมาดื่มกัน

วิกฤติการณ์อะไรก็ไม่เท่าความเจ ็บ ความป่วย และความตายของคนในครอบครัว.

IMG_2311-r

– – –
28062557

12062014

อรุณรุ่งเวลาเดิม
นอนเพลินลืมตื่น
ฟื้นจากฝันเมื่อคืน
ฟังเสียงวันใหม่

เวลาผ่านเลย
ดีใจเสียใจ
วางเฉยเวลา
ผ่านมาผ่านไป

ความชราเพิ่งเกิด
แตะเตาะหัดเดิน
ยังไล่ไม่ทัน
ฉันวิ่งหนีไป

อรุณรุ่งอีกครั้ง
ตะวันขึ้นสว่างจ้า
ฉันฝันลืมตา
หวังว่าวันดี

 

hbd-stamp

080614

อยากไป the reading room มานานแล้ว แต่ก็ติดขัดนู่นนี่นั่นมาโดยตลอด จนสุดท้ายเลยได้มีโอกาสในวันฉาย Filmvirus Wildtype 2013 วันที่สอง (จัดฉายสองวัน เสาร์-อาทิตย์)

ปกติไม่ค่อยได้ดูหนังสั้นสักเท่าไหร่ หลายปีแล้วที่เคยดูงานหนังสั้นมาราธอนที่จัดโดยมูลนิธิหนังไทย (จำอะไรไม่ค่อยได้ นอกจากจำได้ว่าไปดูกับใคร — ชีวิตเราก็เท่านี้) ว่างเว้นไปหลายปีและก็มีงาน กางจอ ของนิเทศ จุฬาฯ ที่เคยได้พบพานกัน (หนนี้ไปดูคนเดียว ที่ bacc)

สรุปกับตัวเองได้ว่า หนังสั้น เป็นโลกประหลาด เฉกเช่นดาวเคราะห์ดวงอื่น

สำหรับโปรแกรมหนนี้ สิ่งที่สัมผัสได้มากคือมันเป็นเรื่องของเรา (เอ๊ะยังไง มึงเพิ่งบอกว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงอื่น) มันเป็นเรื่องของคนไทย ในประเทศไทย ค่ายลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ เด็กชายแอบสูบบุหรี่ นักศึกษาหญิงที่มาเรียนด้วยดวงตาอิดโดย ชีวิตโคตรน่าเบื่อ รองเท้าคัทชูของนักศึกษาหญิงมักจะดูเหม็นโดยที่ไม่จำเป็นต้องได้กลิ่น ไปจนถึงสาวโรงงานแต่งหน้าสวยพริ้งรำเซิ้งกลางสะพานในตลาดน้ำปลอมๆ

อืมม

สิ่งที่คุ้นเคยกลายเป็นฉากในหนังที่เก็บภาพจากโรงเรียนคอนแวนต์ (ข้าพเจ้านี่มันช่างดัดจริตและชนขั้นกลางจริงๆ)

โลกประหลาด ย่นย่อไว้หลายใบในสายตาของกล้องถ่ายภาพยนต์ หรือกระทั่งโทรศัพท์มือถือ หรือว่าหน้าต่างยูทูป

หมูที่ถูกเชือด หน่วยเลือกตั้งที่ไร้ร้าง ความปรารถนาและการพูดจายืดยาวเยิ่นเย้อคนเดียว

– – –

ผมอยากจะพูดถึงหนังแต่ละเรื่อง แต่สูจิบัตรพูดไว้ดีแล้ว และนั่นช่วยให้ผมพอจะรำลึกถึงมันได้ เพราะในบางช่วงของภาวะน่าสบายกึ่งนั่งกึ่งนอนและความมืดสลัวนั้น จิตใจผมลอยไปอยู่ที่อื่นอย่างไม่อาจหวลคืนกลับ ภาพตรงหน้าขยับแต่น้อย ม่านตาของผมล้าเหนื่อย เสียงอึงอลเหมือนเพลงกล่อมนอน และตัวละครก็เป็นดั่งคนแปลกหน้าที่เราหาวใส่เขาได้อย่างไม่ต้องเกรงใจ

แต่ฉับพลัน เสียงหัวเราะก็อุบัติ หนังซื่อๆ เรื่องเด็กชายที่มีเชื้อ HIV (และเขาอาจเติบโตเป็นช่างก่อสร้างที่กำลังมีความรัก) ก็ทำให้ผมหัวเราะไปด้วย

– – –

มันเป็นดวงตาหลายดวงที่มองออกไป

ภาวะขัดขืนต่ออนาคตที่ยังลูกผีลูกคน (และตอนนี้แน่ชัดแล้วว่าออกลูกมาเป็นผี)

ผมเดินออกมาจากห้อง ข้างนอกฝนโปรยสาย เดินดุ่มไปในดาวเคราห์ดวงแปลกหน้าอันเคยคุ้น

กลับบ้าน

 

05062014

หลายปีก่อน ช่วงหนึ่งเคยอ่าน supplement ในหนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับหนึ่ง (ไม่ได้จะเซนเซอร์ แต่จำไม่ได้จริงๆ ว่าอ่านจากไหน) คอลัมน์ที่ผมอ่านเสมอๆ ชื่อว่า ‘เลิกแอบเสียที’ เขียนเล่าเรื่องราวของบรรดาเพศทางเลือกที่เปิดเผยรสนิยมของตน คือสังคมช่วงนั้นยังมองเกย์ในแง่ลบกว่าทุกวันนี้น่ะ

อันที่จริงผมไม่ใช่กลุ่มคนอ่านที่ผู้เขียนสนใจหรอก แต่อ่านทีไรก็รู้สึกเพลิดเพลิน (อีกแล้ว..จำชื่อคนเขียนไม่ได้) เพราะมันเป็นบทความที่ให้กำลังใจ ให้ความกล้าหาญ หรืออะไรทำนองนั้น ด้วยสำนวนภาษาเหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน

ผมนึกถึงคอลัมน์นี้ขึ้นมา เพราะรู้สึกว่าสถานการณ์ช่วงสองสามปีนี้เปลี่ยนไป แนวโน้มของเพศทางเลือกนั้นดูดีขึ้น (แม้ในระบบโครงสร้างทางสังคมยังไม่เอื้อเท่าไหร่ แต่มันกำลังเปลี่ยน)

ในทางกลับกัน เรากลับกลายเป็น ‘อีแอบ’ เมื่อพูดถึงทัศนคติทางการเมือง

ต้องสงวนท่าทีอย่างมาก ต้องหยั่งเชิงกันจนเกร็ง ส่วนผู้กล้าหาญชาญชัยที่ ‘เลิกแอบเสียที’ ก็สวิงกลับกลายเป็นการ come out ชนิดที่เรียกได้ว่าก้าวร้าวรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง (หรือที่เรียกว่า พวกฮาร์ดคอร์)

อันที่จริงต้องใช้ความกล้าหาญมากนะ ที่จะแสดงออกว่าคุณเชื่ออย่างไร เป็นอย่างไร

การเมืองเป็นเรื่องของรสนิยม และคงต้องใช้เวลา กว่าสังคมจะเปิดใจยอมรับความหลากหลาย

งานศพงานหนึ่ง

“เราเรียนรู้ชีวิตได้เสมอจากการมางานศพ”

ประโยคข้างต้นเป็นคล้ายประโยคของนักคิดในวัยเริ่มคิด

 

“เราอาจไม่เห็นความจำเป็นของงานศพ แต่การมางานศพ เป็นเรื่องจำเป็น”

ประโยคข้างต้นอาจเป็นบางประโยคของคนที่คิดตก

 

“คุณเคยอยู่ที่นี่ และคุณก็ไม่ได้หายไปไหน คุณจะหายไปจริงๆ ก็ต่อเมื่ออันตรธานไปจากความทรงจำของทุกคน แต่นั่นก็ชี้ชัดได้ยาก คุณมีหลายแง่มุมในยามที่มีชีวิต ชิ้นส่วนซับซ้อนเหล่านั้นพลันกระจัดกระจาย ฝังฝากไว้ในสมองของคนอื่นอีกมาก เป็นชิ้นเล็กบ้างใหญ่บ้าง เป็นส่วนเสี้ยว เป็นส่วนเดียวหรือบางทีก็เกี่ยวพันกับส่วนอื่นๆ

“และนั่นทำให้คุณมีตัวตนอันพร่าเลือน แม้กระทั่งอนุสาวรีย์ของคุณที่แข็งแกร่งท้าวันเวลา ก็อาจมีความหมายและนัยยะที่แตกต่างกันไป”

สองย่อหน้าข้างต้นนั้นค่อนข้างจะแห้งแล้ง คล้ายเสียงแหบๆ ของนักเล่าที่เหนื่อยล้า

 

ไม่ต้องคิดไปไกลถึงเวิ้งฟ้า มองดูคนที่ยังอยู่เราก็จะเห็นความเศร้าฉายชัดในแววตา มันเป็นเรื่องที่จริงและดิบ สามัญและน่าเบื่อ แต่มันก็เป็นเช่นนี้เสมอ

หากเราจะเรียนรู้อะไรสักอย่างจากงานศพ สิ่งนั้นควรนำมาซึ่งหัวใจที่อ่อนโยนต่อการสูญเสียทั้งหลาย..มิใช่ตรงกันข้าม

 

– – –

 

22052014

เขียนวันนี้เพื่อบันทึกเรื่องเมื่อวานนี้ — รัฐประหารครั้งที่ 3 ในช่วงชีวิต 30 ปีของข้าพเจ้า

ดีเหมือนกันที่ได้มาบันทึกตรงนี้ เพราะในเฟซบุ๊คเมื่อวานมีแต่คำสบถอันโกรธเกรี้ยว บางทีก็นึกสงสัย ว่าที่เคยประนีประนอมและสร้างบรรยากาศให้เกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยน หรือกระทั่งคุยกับเพื่อนๆ ที่เห็นต่างอย่างช้าๆ นั้นออกจะเสียแรงเปล่า แต่ก็ช่างเถอะ

– – –

เราทำสงครามกับคนที่เรารักอยู่ทุกวัน
เราทำสงครามกับคนที่เราใส่ใจ

ในแง่หนึ่งเราเข้าใจพวกเขา แต่ถึงที่สุดแล้วเราก็ไม่เข้าใจ

หากมองกลับกันพวกเขาก็คงจะคิดเช่นนั้นเหมือนกัน

สถานการณ์ลากยาวมาตั้งแต่ต้นปี นกหวีดกระหึ่มกรุงจนกระทั่งผู้คนเหนื่อยล้า แต่ดูท่าอะไรๆ ก็ไม่ได้จบง่ายแบบในหนังฮอลลีวู้ด เมื่อสองสามวันก่อนประกาศกฎอัยการศึก ในตอนนั้นสื่อต่างประเทศพูดแล้ว ว่านี่มันรัฐประหารชัดๆ แต่มาในมาดใหม่ และสุดท้าย 16.30 ของวันที่ 22 พฤษภาคม มันก็เปิดหน้ามาจริงๆ

แต่ก็แบบนี้แหละ มาในนามของความดีและความถูกต้อง

ในระหว่างนั้นทีวีทุกช่อง วิทยุทุกคลื่น ถูกบังคับให้ออกอากาศแบ็คกราวด์เชยๆ แผ่นหนึ่ง เขียนไว้บรรทัดบนว่า เกียรติของทหาร บรรทัดล่างๆ นั้นตัวเล็กเกินไปอ่านไม่เห็น ข้อความเหล่านั้นอยู่ในกรอบหลุยส์สีทองปลอม

เพลงที่เปิดคลอรอประกาศคณะปฏิวัติเป็นเพลงปลุกใจรักชาติทั้งหลาย ทั้งเราสู้ หนักแผ่นดิน ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ รักเมืองไทย และเพลงอื่นๆ ในทำนองนี้ที่ประพันธ์ไว้ตั้งแต่ครั้งก่อร่างสร้างรัฐไทยสมัยใหม่

ฟังดูก็เข้าใจได้ว่าเพลงพวกนั้นมีประโยชน์ใช้สอยในยุคนั้น ยกตัวอย่างเช่น เพลง หนักแผ่นดิน

คนใดเห็นไทยเป็นทาส ดูถูกชาติเชื้อชนถิ่นไทยแต่ยังฝังทำกิน กอบโกยสินไทยไป เหยียดคนไทยเช่นทาสของมัน

คนใดยุยงปลุกปั่น ไทยด้วยกันหวังให้แตกกระจายปลุกระดมมวลชนให้สับสนวุ่นวาย เพื่อคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง

คนใดหลงชมชาติอื่น ชาติเดียวกันเขายืนข่มเหงได้สินทรัพย์เจือจานก็ประหารไทยกันเอง ชาติอื่นเกรงดังญาติของมัน

ฯลฯ

มาวันนี้คงจะเป็น

คนใดเห็นคนเป็นไพร่ ดูถูกปัญญากิริยาไลฟ์สไตล์ เอาเปรียบเขาแต่หวังพึ่งแรงงานราคาถูก กดหัวเอาไว้ให้หาเช้ากินค่ำ

คนใดยุยงปลุกปั่น สร้างความเกลียดชังปั้นคนให้เป็นอื่น สร้างความชอบธรรมในการประหัตถ์ประหารไอ้พวกเผาบ้านเผาเมือง  

คนใดหลงนิยมขั้วอำนาจ สอพลอไปวันๆ เพื่อความก้าวหน้าส่วนตน ทำมาค้าขึ้นถ้าเข้าถึงให้ถูกคน คอร์รัปชั่นคืออะไรนี่มันสายสัมพันธ์อันดีงาม

ฯลฯ

หนักแผ่นดิน

– – –

เพลงนี้แต่งขึ้นเพื่อต้านผีคอมมิวนิสต์ มาวันนี้ใช้ในการประหารผีทักษิณ
ฉันอยากรู้จริงๆ ใครจะเป็นผีตัวต่อไป.

13052014

เวลามองดูชีวิตผู้คนในเฟซบุ้คมักจะเห็นคำว่า เฉลิมฉลอง ผุดขึ้นมาในใจ
เมื่อเช้าจึงพิมพ์ broken english สั้นๆ ไว้ว่า

Celebrate your youth
Celebrate your body
Celebrate your smart brain
Celebrate your strong mind
Celebrate your good life

พลันรู้สึกดัดจริต.. เลยแปลเป็นภาษาไทย
แต่มันตะหงิดๆ อะไรสักอย่าง เหมือนผิดฝาผิดตัว ก่อนที่จะพบว่า มโนคติของการเฉลิมฉลองนั้น คงไม่มีอยู่ในโลกตะวันออกของเรา..

การเฉลิมฉลอง มีนัยของการเป็นโอกาสพิเศษ มันเป็นวาระที่มีจุดเริ่มและจุดจบ ถ้าหากงานเฉลิมฉลองจัดขึ้นทุกวัน ดำเนินไปเป็นความปกติธรรมดา เราจะไม่เรียกสิ่งนั้นว่าการฉลอง

คติทางตะวันออกนั้น ที่พอจะนึกออกและใกล้เคียงการเฉลิมฉลองก็น่าจะเป็น enjoy your present moment ของท่านติช นัท ฮันห์

ความสุข ณ ที่นี่ เวลานี้
ไม่มีไวน์ชั้นดีรินเติมให้
ไม่มีเสียงกรุ๊งกริ๊งของแก้วใสชนกันกังวาน

ความอ่อนเยาว์
เรือนกาย
สมอง
จิตใจ
ชีวิต

ใคร่ครวญถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่อธิบายออกมาได้ยาก
และหากว่าวันนี้จะเป็นวันหยุด สำหรับพักผ่อน สำหรับการฉลอง หรือสำหรับการภาวนา

ก็หวังว่าเมื่อปาร์ตีเลิก เราจะไม่เศร้านักเมื่อแขกเหรื่อต่างแยกย้ายจากไป เหลือไว้เพียงความทรงจำ เสมือนคราบอาหารบนจานชามรอล้าง..
วิสาขบูชา, ๒๕๕๗