กล้องตัวซ้ายคือ Nikon FM2
พ่อให้มาตอนช่วงปี 47 (ตอนนั้นกล้องก็ไม่ได้อยู่กะพ่อแล้ว แต่อยู่ที่เพื่อนพ่อ ซึ่งเพื่อนพ่อก็ไม่ได้เอาออกมาถ่ายนานแล้วเหมือนกัน ผมรับมันมาในสภาพใหม่กิ๊ก พร้อมเลนส์ติดกล้องคือ Sigma 50mm macro)
เหตุผลไม่มีอะไรมาก เราต้องลงเรียนวิชาถ่ายรูปและล้างอัดฟิล์ม ที่ภาควิชาวิทยาศาสตร์ภาพถ่าย
ตามประสาวิชาการ เราต้องนั่งท่องชื่ออวัยวะต่างๆ ของกล้อง SLR (รวมไปถึงการทำความรู้จักกันอย่างผิวเผินกับกล้องสายพันธุ์อื่นๆ ข้างเคียง) ศึกษากระบวนการสร้างภาพบนเนื้อฟิล์ม ทฤษฎีสีแสง และอื่นๆ อีกมากที่เคยท่องไว้สอบ แต่ป่านนี้ลืมสิ้น
ตามประสาวิชาแลป เราต้องเข้าห้องมืดสัปดาห์ละครั้ง เพื่อล้างฟิล์มและอัดรูป ซึ่งนับได้ว่าเป็นความทรงจำแสนสุขของผม
เราเข้าไปในห้องแคบๆ ที่มืดสนิท มืดจนเหมือนว่าตัวเราหายไป แต่ที่ฝาผนังมีสติ๊กเกอร์รูปดาวเรืองแสงแปะไว้ ไม่อย่างนั้นเราอาจเข้าใจผิดว่ากำลังยืนอยู่กลางหลุมดำ โหลดฟิล์มใส่คอนเทนเนอร์ด้วยมือที่งุ่มง่าม (อันจะชำนาญขึ้นในคราวต่อๆ ไป) หรือไม่ก็อ้อนอาจารย์รุจให้โหลดฟิล์มให้หน่อย
นำน้ำยาที่คุณป้าประจำแลปเตรียมไว้ให้เข้าไปในห้องล้าง ที่มีอ่างน้ำขนาดใหญ่ และนาฬิกาเข็มจับเวลาถอยหลัง
นับ 1 2 3 4 5 เขย่า 1 2 3 4 นับ 1 2 3 4 5 … ไปตามสูตรการล้าง
เราอาจจะนั่งคุยกันไป เขย่าคอนเทนเนอร์ไป แต่ส่วนมากเรามักจะนั่งกันเงียบๆ มากกว่า
แม้คนที่ช่างจ้อที่สุด ก็มักจะสงบถ้อยคำ
ความเงียบในห้องล้างนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความเงียบในห้องอัดนั้นล้ำลึกกว่า
แลปอัดภาพขาวดำนั้นไม่ได้มืดสนิท เราสามารถเปิดไฟสีแดงได้ เพราะแสงสีแดงไม่ทำปฏิกิริยากับกระดาษอัด ในห้องมีเครื่องอัดภาพขนาดใหญ่เทอะทะวางอยู่มุมหนึ่งให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม ริ้วรอยของกาลเวลามีอยู่มากมายบนพื้นผิวของอุปกรณ์ตกยุคตกสมัยชิ้นนั้น
ตัดฟิล์มออกมาหนึ่งรูป รูปอะไรก็ได้ที่เราพอใจอยากจะให้มันปรากฎออกมาเป็นกระดาษ แล้วนำมาลองฉายแสงเพื่อกะเวลา
จากฟิล์มเนกะทีฟที่กลับดำเป็นขาว ฉายแสงลงกระดาษ แช่ลงในอ่างน้ำยา develop แล้วปรากฏภาพขาวดำ กระบวนการเหล่านั้นดูช่างน่าตื่นตาตื่นใจ ภาพแต่ละภาพที่เรากดชัตเตอร์ทิ้งๆ ขว้างๆ ในรอบสัปดาห์ พอมันปรากฎขึ้นมาบนกระดาษ เราก็หวังอยากให้มันออกมาสวยงาม
ความสวยงาม…ที่อาจจะสว่างไปบ้าง มืดไปบ้าง
แต่ทั้งหมดที่ว่ามาคือความทรงจำปะแล่มๆ ที่สวยงามอยู่ดี
– – –
หลังจากปี 47 เราก็หมดพันธะกับวิชาบังคับเลือกวิชานี้ บางคนอาจจะขายกล้องทิ้ง หรือยกให้รุ่นน้อง หรือซุกไว้ในล็อกเกอร์แล้วลืมมันไปในฐานะวัตถุโบราณ
แต่บางคนก็ไม่
เขาอาจจะพามันไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้าน จากย่างกุ้งมุ่งสู่รัฐฉาน มัณฑะเลย์ รับลมทะเลสาบอินเล เป็นการเดินทางที่น่าประทับใจ เพราะมีเพื่อนๆ FM2 อีกสามตัวมาเจอกัน โดยไม่ได้นัดหมาย
เขาอาจจะปันใจให้กล้องดิจิตัล ที่เบากว่า สะดวกกว่า และคุณภาพภาพดีกว่า
แต่เมื่อถึงเวลาต้องไปสูดอากาศจากเทือกเขาหิมาลัย แม้ใครต่อใครร่วมเส้นทางมักรู้สึกคล้ายๆ กัน คืออยากเหวี่ยงสัมภาระต่างๆ ทิ้ง…แต่เขาก็ไม่อาจตัดใจจากกล้องหนักๆ ตัวนี้
– – –
กล้องตัวขวาคือ Olympus OM-1N
ว่ากันตามตรงอายุอานามน่าจะมากกว่า FM2 อยู่หลายปี
ปีนี้คือปี 53 เรายังไม่มีเรื่องราวใดๆ ให้รำลึกถึงมากนัก แต่ภาพบางภาพที่ผมมองผ่านสายตาของกล้องตัวนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาของความสุข
มีแมวบางตัวในนั้น มีหมาบางตัวในนั้น มีคนบางคนในนั้น มีรอยยิ้มบางรอยยิ้ม และสถานที่บางแห่งที่ดูคล้ายจะเป็นห้องครัว
เราเพียงพรมนิ้วลงบนชัตเตอร์ ปรับวงแหวนความเร็วและรูรับแสง หมุนโฟกัสมองหาจุดที่เราสนใจ เราอาจจะกลั้นหายใจให้มือนิ่ง เราอาจจะรอเวลาที่ใครบางคนยิ้ม…
บางอย่างแยกกันไม่ออกระหว่างภาพจำ ภาพถ่าย ภาพจินตนาการ และเรื่องราวที่ผ่านกาลเวลา
ปีนี้คือปี 53 เดือนกรกฎา
ผมก็แค่หวังว่ามันจะเป็นปีที่ดี
.
.
.
.
(บางส่วนของภาพที่ยังหลงเหลือจากแลปล้างรูป)