ชวนอ่าน เพลงรัตติกาลในอินเดีย

เพลงรัตติกาลในอินเดีย (Notturno Indiano)
Antonio Tabucchi เขียน / นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ แปล
Book Virus, กรกฎาคม 2555

ฉบับแปลโดนสำนัก bookvirus นี้ มีทั้งอารัมภบทและคำนิยมสองบทท้วมๆ ก่อนจะถึงตัวเรื่องของตาบุคคี (ผู้เขียน) และทั้งสองชิ้นนั้น ก็มีดอกจันเล็กๆ ตรงหัวข้อว่า อ่านข้ามได้ เพราะฉะนั้น ผมจึงข้ามมันไป

พอถึงตัวเรื่องจริงๆ ผมอยากจะเล่าถึงเนื้อหนังของมัน แต่มันพูดถึงยากมาก เพราะนิยายสั้นเรื่องนี้ แทบไม่มีเรื่อง

‘ผม’ เป็นชาวอิตาลี ที่เดินทางไปในอินเดีย เพื่อตามหาเพื่อนผู้หายตัวไปแรมปี เงื่อนงำมีเพียงจดหมายจากนางโสเภณีคนหนึ่ง จากชิ้นส่วนเบาบางพวกนี้ ‘ผม’ ก็เดินทางไปเรื่อยๆ เกิดบทสนทนากับคนระหว่างทาง

เป็นบทสนทนาประเภทที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวอะไรนัก เมื่อถามถึงสิ่งหนึ่ง ก็จะได้คำตอบที่ถอยห่างออกไปเสมอเสมอ

อันที่จริงผู้เขียนเล่าในท่วงทำนองทีไม่ได้เร้าให้เราอยากรู้อะไรเลยด้วยซ้ำ เหมือนบทสนทนาในตอนหนึ่ง

” อย่าคัดเลือกมาเป็นชิ้นๆ เลยค่ะ ขอร้องล่ะ โปรดเล่าสารัตถะของหนังือคุณให้ฉันฟัง ฉันอยากรู้เรื่องราวโดยรวมของมันค่ะ”

“ก็ทำนองว่า หนังสือผมจะเป็นคนที่หลงทางในอินเดีย นี่แหละครับเรื่องราวโดยรวม”

“ไม่ได้นะคะ แค่นี้ไม่พอ คุณจะเอาตัวรอดอย่างนี้ไม่ได้นะคะ เพียงเท่านี้ เป็นสารัตถะไม่ได้”

ที่สำคัญและ(อาจจะ)มีคุณค่าที่สุดในนิยายเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เล่า ไม่ได้พูดออกมาชัดๆ — ถึงตรงนี้ผมคิดอย่างเข้าข้างว่า ตัวผู้เขียนกำลังอยากเล่าถึงสิ่งที่ซับซ้อนและใหญ่เกินกลไกของภาษาอันราบเรียบ สารัตถะชนิดที่ลดทอนไม่ได้ เพราะจะสูญเสียใจความของมันไป

น่าสังเกตว่า ถ้าไม่ใช่ด้วยฝีไม้ลายมือระดับนี้ อ่านไปจะหลับเอาง่ายๆ แต่เสน่ห์ของความเงียบ ความมืด และหมอกสลัว นั้นตรึงสมาธิเราไว้ได้จนจบเล่ม

เอา่ะ แต่ถึงอย่างนั้น ในการเดินทางของตัวละคร ที่เข้าโรงแรมนู้น ออกโรงแรมนี้ ซุกกายทั้งในระดับห้าดาวอย่างที่เด็กยกกระเป๋าแต่งองค์แบบมหาราชา จนกระทั่งความเสื่อมโทรมของตรอกเล้าหมู เราเห็นอะไรบ้าง

บรรยากาศน่าสังเวชในโรงพยาบาล ที่เป็นดั่งลานโล่งกว้างขวางอันมีเตียงคนไข้นอนเรียงแถวเต็มพรืด คล้ายการแปรอักษรเป็นตัวสะกดว่า “กำลังตาย”

แม้จะไม่ได้เน้นย้ำลงไปในตัวอักษร แต่เราจะเห็นภาพของความแปลกต่างของ ‘ผม’ ชาวตะวันตกโลกที่หนึ่ง หลงทางในความสับสนอลหม่านของอินเดีย ท้องนทีแห่งโลกตะวันออก

หญิงช่างภาพถาม

“คุณเคยไปกัลกัตมาไหมคะ”

ผมส่ายหัว

“อย่าไปนะคะ” คริสตินบอก “อย่าทำสิ่งผิดพลาดนี้เป็นอันขาด”

“ผมคิดว่าคนอย่างคุณจะคิดว่าในชีวิตต้องได้ไปเห็นให้มากที่สุดเสียอีก”

“ไม่ค่ะ” เธอตอบหนักแน่น “ต้องเห็นให้น้อยที่สุด”

ภาพบางภาพเห็นแล้วก็เท่านั้น รังแต่จะเกิดคำถามอันสั่นคอนความเป็นตัวเรา

สั่นคลอนความสุขของเรา

และอาจทำให้เรานอนไม่หลับ.

ยุคมืด

มันเริ่มขึ้นอย่างเงียบงันในวันที่ไร้แสง หากพูดถึงข้อเท็จจริง โอกาสที่เมืองใหญ่จะมืดสนิทแบบนี้เรียกว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย ไม่ต้องพูดถึงแสงดาวหรือแสงจันทร์ คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม และหมอกควันของเมืองเป็นดั่งผ้าโปร่งสีเทาผืนบางที่กางกั้นแสงดาวอยู่ตลอดมา คืนนั้นเป็นคืนแห่งการปิดไฟตามโครงการรณรงค์ลดใช้พลังงาน นักวิชาการ เอ็นจีโอ ผู้ทรงภูมิ ต่างตบเท้าออกมาเย้ยเยาะกันรายตัว ทุกผู้ต่างแสดงความเห็นคมกริบเชือดเฉือนความกลวงเปล่าไร้สาระของแคมเปญรณรงค์อันนี้ เป็นภารกิจที่ต้องกระทำ หากไม่อยากตกขบวนเหล่าปัญญาชน โดนทอดทิ้งไว้เบื้องหลังโดยไม่มีประวัติศาสตร์ใดๆ รองรับ แม้กระทั่งกระแสรองก็เถอะ

วันดับไฟจัดต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่สี่ ปีแรกนั้นมีบรรยากาศประหนึ่งการสังสรรค์ใหญ่โต งบประมาณที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์คงมากกว่าค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้หลายเท่าตัว นี่เป็นเรื่องที่แม้เด็กประถมที่บวกเลขเป็นยังรู้ น่าฉงนนักที่ขบวนปัญญาชนไม่สามารถขัดขวางกิจกรรมเปลืองเปล่านี้ได้ ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งคล้ายเป็นการประชาสัมพันธ์ทางอ้อมเสียด้วยซ้ำ ยิ่งแสดงความเห็นแสบสันต์ถึงความกลวง ประชาชนยิ่งตั้งตารอคอยความมืดสนิทของกรุงเทพฯที่พวกเขาไม่เคยเห็น แค่ 7 นาทีที่อาจจะขาดความสะดวกสบายไปบ้าง (กระทั่งแสงจากหน้าจอสมาร์ทโฟนก็ไม่เว้นต้องดับให้มืด เพื่อการนี้มีการปล่อยแอพพลิเคชั่นฟรีเพื่อปิดแสงหน้าจอ) แต่สิ่งที่ได้มาคือความสงัดอันบริสุทธิ์ ความมืดที่ลึกล้ำ ทาง กทม. ถึงกับยิงสปอตคำสัมภาษณ์ของพระเซเล็บฯรูปหนึ่งออกอกาศประชาสัมพันธ์ถี่ยิบ ท่านกล่าวว่า “เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิต น้อมจิตเข้าสู่ความสงบ เพราะพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นต่างก็เคยภาวนาในถ้ำที่มืดสนิทมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ไม่แน่ว่า 7 นาทีนี้เราจะได้เพาะหน่อเนื้อเพื่อดำรงพุทธศาสนา สืบเนื่องเนื้อนาบุญต่อไป”

วันดับไฟครั้งที่ 1 ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม กรุงเทพฯมืดสนิทอย่างที่ไม่เคยปรากฏ หากมีใครเดินเล่นไปในซอกซอยเล็กๆ ของหมู่บ้านจัดสรร เขาจะได้ยินเสียงเพลงบรรเลงคลอเคลียดังลอดมาจากหน้าต่างบ้านเรือน (กระจายเสียงทางคลื่น green FM หนึ่งในผู้สนับสนุนโครงการ) นักดนตรีแต่งได้ดีเยี่ยม มีจินตภาพของความมืดอันลึกล้ำโอบอยู่รายรอบ เสียงจิ้งหรีดเรไรในด้านหลังภาคริทึ่มเป็นแอมเบียนท์บางเบาทำให้นึกถึงค่ำคืนในชนบท นอกจากนั้นเขาจะเห็นแสงไฟแวมวัมจากในบ้าน เป็นเปลวเทียนอบอุ่นสว่างไสว (เป็นแสงสว่างชนิดเดียวที่อนุญาตให้ใช้ในการนี้ มีเทียนรุ่นต่างๆ เพื่อการสะสมมากมาย หลากสีสันและลวดลาย รวมทั้งแพคเกจจิ้ง) เป็นครอบครัวสงบสุขอย่างที่ชาวกรุงใฝ่หา หนุ่มสาวที่แยกมาตั้งครอบครัวอาจจะจุมพิตอย่างดูดดื่ม จินตนาการไปว่าในความมืดนั้น เขาและเธอเป็นดั่งอีฟและอดัมที่เร้นกายอาศัยเงาราตรีของสรวงสวรรค์ ดื่มด่ำรสชาติของตัณหา

การดับไฟดำเนินไปเป็นระยะเวลา 7 นาทีเต็ม นานพอดีบทเพลงบรรเลงจบ ช่วง 10 วินาทีสุดท้ายมีคนลักไก่ชิงกันเปิดไฟก่อน อาจจะเป็นเด็กวัยรุ่นอยากเด่นอยากดัง หรือผู้ใหญ่ที่ไม่อินังขังขอบอะไรก็เป็นได้

เพียงนาทีถัดมา เวบข่าวต่างรายงานภาพบรรยากาศการชุมนุมที่ท้องสนามหลวง (เทียนไข 9,999 เล่มในมือประชาชน 9,999 คน) มีคนอุตริปล่อยโคมลอยด้วยเหมือนกัน แต่วันรุ่งขึ้นเขาโดนรุมประณามอย่างหนักในเครือข่ายสังคมออนไลน์เสียไม่มีชิ้นดี เหตุเพราะมีภาพหลักฐานตัวเองยิ้มร่าสู้กล้อง ประคองโคมให้รับอากาศร้อนอยู่ ภาพจากเฟซบุ๊คของเจ้าตัว

วันดับไฟครั้งที่ 1 เป็นเหมือนเทศกาลรื่นเริง คล้ายๆ การนับถอยหลังสู่ปีใหม่ที่แยกราชประสงค์ การลอยกระทงในสระจุฬาฯ การสาธิตวิธีใช้ฟองน้ำล้างรถอย่างถูกต้องที่งานมอเตอร์โชว์ ฯลฯ

ครั้งที่ 2 นั้นเงียบเหงา อาจจะเพราะขาดความสดใหม่ ประชาชนเริ่มมีคำถาม ปิดไฟแล้วไง? น่าแปลกที่เหล่าปัญญาชนเงียบกริบไม่ออกมาต่อปากต่อคำ พวกเขาคงไล่กัดประเด็นสดใหม่อื่นๆ ที่มีกลิ่นเลือดคาวยวนใจ

ครั้งที่ 3 ประจวบเหมาะกับวาระครบ 100 วันการสิ้นพระชนม์ของราชวงศ์ชั้นสูง เจ้าฟ้าที่ไม่ใคร่คุ้นชื่อ แต่ภายในสัปดาห์ ชื่อนั้นก็ถูกประทับลงในเซลสมองของทุกคนในสังคมไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ ผู้ว่าฯเห็นโอกาสบางอย่าง จะเรียกว่าวิสัยทัศน์ก็น่าจะได้ จึงรณรงค์ให้วันดับไฟนั้นเป็นการแสดงความอาลัยอย่างยิ่งใหญ่สุดซึ้งในความมืด

จนกระทั่งวันนี้ วันดับไฟครั้งที่ 4

ครบ 10 นาที (แต่ละปีที่ผ่าน จะเพิ่มระยะเวลาการดับไฟนานขึ้น) แต่สวิตช์ไฟทุกอันพร้อมใจกันทรยศ หลายคนกดสวิตช์ที่ผนังย้ำไปย้ำมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด แต่ไฟก็ไม่ติด

กรุงเทพฯอยู่ในความมืดสนิทอย่างแท้จริง เมื่อเทียนไขเล่มสุดท้ายเผาไหม้จนไม่เหลือน้ำตา

มืดเหมือนผีร้ายสยายผ้าคลุมสีดำของมันห่มพลเมืองทั้งหมดเอาไว้ แล้วใช้นิ้วมือแห้งเหี่ยวมีแต่กระดูกของมันปิดเปลือกตาของผู้อยากรู้อยากเห็น มืดเหมือนช่องแข็งของตู้เย็นที่ไม่ได้ละลายน้ำแข็งมานานแรมปี ใช่แล้ว มีลมยะเยือกชนิดหนึ่งเคลื่อนวู่หวิว ปกติเมื่อมีลมเย็นพัดผ่านชาวกรุงฯต่างรื่นรมย์ด้วยบรรยากาศของงานเฉลิมฉลอง เทศกาลลานเบียร์และอื่นๆ ที่วิบวับสว่างไสว แต่หนนี้มันเป็นความเย็นที่มืดสนิท ทำให้เส้นขนลุกชันและสะท้านที่ท้ายทอย

ชั่วโมงหนึ่งผ่านไปโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครอบครัวเดี่ยวทั้งหลายในหมู่บ้านจัดสรรเดินออกมายังสวนแคบๆ หน้าบ้านของพวกเขา พลางเขม้นมองเข้าไปในรั้วของเพื่อนบ้าน ว่าหลังอื่นตกอยู่ในความมืดเช่นบ้านตนหรือไม่

โทรศัพท์มือถือส่องแสงไปทั่ว ชาวเมืองต่างใช้มันแทนไฟฉายเพื่อส่องทาง เพราะพวกเขาหาไฟฉายเขรอะฝุ่นไม่เจอ หรือที่มีถ่านก็หมด มีแต่ของเหลวเหนียวเหนอะไหลเยิ้มออกมา ความกังวลค่อยๆ สะสม จนปรี่เต็มเมื่อพบว่าเครือข่ายโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตล่ม พวกเขาพับหน้าจอแล็บทอปลง วางแทปเล็ตคว่ำลงบนโต๊ะ อุปกรณ์ที่ไม่สามารถต่ออินเทอร์เน็ตได้สร้างความหงุดหงิดและหาประโยชน์มิได้

ทำไมไฟยังไม่มานะ เสียงบ่นพึมพำดังซ้ำซากจากปากของพลเมืองทั้งหลาย

ทำไมไฟยังไม่มา..

ยังดีที่อากาศไม่ร้อนเกินไปนัก ลมเย็นที่คราแรกพาสะท้านเริ่มกล่อมให้ชาวเมืองง่วงงุน หนุ่มสาวที่จุมพิตกันเมื่อครู่เริ่มเอนร่างลงบนพื้นปาร์เก้ พลางปลอดตะขอเสื้อชั้นใน เธอกระซิบบอกว่าให้ปิดม่านก่อน แต่เขาไม่อยากรามือ ไม่มีใครเห็นหรอก มืดสนิทอย่างนี้ เขากล่าวพลางเอื้อมมือไปเบื้องล่าง เธอส่งเสียงคราง

เมื่อรอแล้วรอเล่าไฟยังไม่มา แต่ละบ้านทยอยกันเข้านอน ดีจริงที่คืนนี้อากาศเย็น หน้าต่างเปิดรับลม ไม่มียุงสักตัว เป็นค่ำคืนที่เงียบสนิทเมื่อรถยนต์ต่างจอดนิ่งและดับเครื่อง อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว พวกเขากล่าวราตรีสวัสดิ์แก่กัน ฝันดีนะจ๊ะ แม่บอกลูกเล็กๆ ของเธอ

แต่เหตุผลและตรรกะอันคุ้นเคยมลายสิ้น เมื่อพรายน้ำนาฬิกาควอตช์บนข้อมือบอกเวลาเจ็ดนาฬิกา ทว่าท้องฟ้ายังคงเป็นสีดำสนิท

. . .

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก มองไปรอบๆ ด้วยความง่วงงุน ต้องใช้เวลาสักพักก่อนสำนึกรู้จะตื่นตัว และบอกตัวเองให้เข้าใจได้ว่า ตนเองไม่ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ผมนอนเต็มอิ่มครบแปดชั่วโมงจึงตื่น และนี่คือกลางวัน

แม้จะผ่านมานาน แต่ความเคยชินนั้นฝังลึกจนผมไม่สามารถตื่นขึ้นมาพบความมืดสีดำด้วยใจสงบ การตื่นทุกครั้งให้ความรู้สึกผิดแปลก เหมือนเราไม่สมควรจะต้องตื่นขึ้นมาเวลานี้

ทุกเช้าที่ลืมตา (ขอผมใช้คำว่า เช้าเถอะนะ) ริมฝีปากของผมจะขยับคำอธิษฐานโดยอัตโนมัติ แม้โดยมากจะไม่มีเสียง ขอให้พระองค์จงเมตตาเรา มอบแสงสว่าง ฉายให้เราหายจากความมืดบอด และมอบความอบอุ่นแก่ข้าฯ ปกปักรักษาให้รอดผ่านมิคสัญญีนี้ อาเมน

ในความมืดนั้นเวลาผ่านไปด้วยความเร็วเหมือนเดิมไหมใครจะรู้ เรานับวันเวลาจากการโคจรของดวงดาว มีกลางวันกลางคืน แต่โลกที่มีเพียงความมืดนี้ทำให้ผมแทบบ้า เลิกคิดไปนานแล้วว่ามันเพราะอะไร ทำไม และอย่างไร การคิดโดยไม่มีแสงสว่างแม้เพียงนิดเหมือนกระต่ายวิ่งชนรถถัง วินาทีเหมือนโดนฉุดรั้งด้วยความืดหนืดข้นจนช้าลง ช้าลง เช่นเดียวกับความรู้สึกทั้งหลายที่เหมือนจะผิดเพี้ยนไป ผมไม่รู้สึกหิว มืดจนมองไม่เห็นมือตนเองจนบางทีก็สับสนว่าผมกำลังยกฝ่ามือขึ้นมาตรงหน้าอยู่จริงหรือไม่ มีแต่ความง่วงเท่านั้นที่แจ่มชัด และมันเป็นความรู้สึกจริงแท้หนึ่งเดียวเท่านั้นในตอนนี้ แม้จะเพิ่งตื่นขึ้นมาไม่นาน

ในช่วงที่ตื่นอยู่ผมทำได้เพียงเงี่ยหูฟัง และเดินไปเดินมาในห้องแคบๆ ที่คลำทางจนคุ้นเคย ความมืดเป็นเสมือนกำแพงล่องหนที่ขุมขังเราเอาไว้โดยที่ไม่ได้ขัง

ผมทบทวนเรื่องราวอีกครั้ง มันเริ่มขึ้นอย่างเงียบงันในวันที่ไร้แสง เพราะเป็นคืนแห่งการปิดไฟครั้งที่ 4…

เพราะไม่มีอะไรอื่นจะทำ ผมจึงจำเรื่องราวที่สรุปกับตนเองได้ขึ้นใจ เล่าทบทวนมันช้าอีกครั้งและอีกครั้ง วันนั้นมีเหตุการณ์อะไรผิดปกติไหมนะ มีเค้าลางบอกเหตุอะไรหรือเปล่า ทุกรายละเอียดตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงเวลาดับไฟ สิบนาทีอันรื่นรมย์ของความมืดสงัดและเสียงเพลง เป็นความรู้ความเข้าใจล่าสุดหนึ่งเดียวที่จดจารไว้ หลังจากนั้นไม่มีข้อมูลข่าวสารใหม่ใดๆ อีก

มืดบอดทางปัญญา.. ตรงตามความหมายในตัวอักษร ผมแค่นยิ้มกับตนเอง

ทบทวนเรื่องราวจนสมองล้า ผมจึงเอนตัวลงนอน มันสบายกว่าจริงๆ เมื่อนอนหลังจากครุ่นคิดจนเหนื่อยอ่อน กลายเป็นวัฏจักรซ้ำๆ ของการไล่ลำดับความคิดจนถึงขีดสุด ก่อนจะเอนหลังนอนหลับไป

ถ้าเลือกได้ผมต้องการจ่อมจมในนิทราหนืดข้นสีดำนั้น แล้วหลับจนกระบวนการในร่างกายค่อยๆ ผ่อนกำลังลงอย่างช้าๆ เหมือนแรงเฉื่อยสุดท้ายของกลไกก่อนจะนิ่งสนิท เป็นดั่งพาหนะปลดระวางที่แล่นตรงไปจอดในสุสาน ดับเครื่อง และรอให้สนิมจัดการลบความมีอยู่ ถ้าโชคดี ร่างเหล่านั้นจะบูดเน่าเนิบช้าอย่างสงบสุข เอนไซม์ของแบคทีเรียทำปฏิกิริยาอย่างเกียจคร้าน ไม่ต้องรีบหรอก ยังมีศพให้เราไปจัดการอีกเยอะ หนอนอ้วนพีกล่าวแก่กันอย่างรื่นเริง จนกระทั่งพวกเขาจมกองโคลนเละๆ สีดำ อันเกิดจากไขมันและโปรตีนของตนเอง

แต่หากโชคร้าย ในห้วงนิทราแสนสงบนั้น จะถูกขัดจังหวะด้วยคนที่ยังตื่นอยู่ หลังจากเวลาของความอลหม่านผ่านไป บางคนเริ่มคุ้นชินกับความมืดนั้น เมื่อใช้เวลามากพอเราจะเริ่มเห็นเฉดที่ต่างกันเล็กน้อยของความมืดมิดสีเทา รูม่านตาพวกเขาขยายกว้าง ที่สำคัญ พวกเขารู้สึกหิว หิวเหมือนกระเพาะของแขกโรงแรมห้าดาวที่พนักงานมาเสริ์ฟอาหารเช้าบนเตียงช้าไปครึ่งชั่วโมง หิวโหยและหงุดหงิดฉุนเฉียว โดยมากพวกเขาจะเตร็ดเตร่ไปเรื่อยตามบ้านเรือน คุ้ยตู้เย็นและกินทุกสิ่งที่กินได้ การตื่นขึ้นมาอย่างหมีฟื้นจากจำศีล แต่กลับพบโลกสีดำนั้นไม่ง่ายเลย ความยุ่งยากต่างๆ ทำให้พวกเขาเริ่มละทิ้งสิ่งที่ไม่จำเป็น ถอดเสื้อผ้าที่สกปรกออก จนกระทั่งเปลือย (อย่างไรมันก็มืดอยู่ดี) กลั้นใจกินอาหารดิบๆ (นั่นหลังจากไม่เหลืออาหารปรุงสำเร็จบนชั้นวางในห้างสรรพสินค้าอีกแล้ว)

เมื่อคราวก่อนบทสนทนาเริ่มขึ้นดังนี้

หลับหรือยังพวกเขาถามพลางแตะตัวผมเบาๆ

“…” ผมสะลึมสลือครางอู้อี้ไม่ได้ศัพท์ พวกเขาค่อยๆ จากไป

หลับหรือยังพวกเขาถามใครสักคนที่อยู่อีกมุมห้อง

เงียบ

อาจจะมีใครสักคนสะกิดเบาๆ

เงียบ

ขอบคุณสำหรับอาหาร

จากนั้นพวกเขาจึงเริ่มจัดการร่างหลับใหลตรงหน้าอย่างเงียบงัน ไม่พูดไม่จา เราอาจได้ยินเสียงหยับๆ หากเนื้อเหนียวเกินไป เสียงหักกระดูกชิ้นเล็กๆ ดังเป๊าะ เหมือนหักกิ่งไม้แห้งๆ นานๆ ทีเราจะได้ยินเสียงทุบของแข็งแตกดังโพละ และตามมาด้วยเสียงบ่นพึมพำๆ แบ่งสมองมานี่มั่ง” “มีตั้งเยอะ อย่าบ่น

บางทีผมก็ได้ยินเสียงพวกเขาอภิปรายกันว่าเนื้อใครอร่อยที่สุด ต้องนักกีฬาสิ แน่น ยืดหยุ่น แต่ไม่ใช่พวกวิ่งตามสายพานในฟิตเนสนะ เนื้อแน่นก็จริงแต่เคี้ยวทีมีแต่ความกระด้าง กระเดือกแทบไม่ลง แจ๋วสุดต้องเนื้อต้นแขน ไม่ก็สะโพกของคนเข็นรถขายผลไม้ แน่นแต่หยุ่นนุ่ม แถมไม่มีกลิ่นเหม็นเอียนๆ แต่อะไรก็ไม่ร้ายเท่าพวกนักวิชาการปัญญาชน เนื้อฟ่ามๆ เละๆ เคี้ยวทีเหมือนกินโฟมเก่าๆ แถมยังมีกลิ่นเน่าเหมือนร่องฟันคนสูบบุหรี่จัดโชยออกมาจากเครื่องใน ไม่หรอก ลืมแล้วหรือไง เสียงหนึ่งขัดคออย่างจริงจัง เนื้อกวีสิเลวที่สุด เสียงเห็นด้วยดังอื้ออึง

ผมได้แต่ฟังอยู่เงียบๆ พลางสับสนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ท่ามกลางความมืดมิดนี้ พวกเขารู้ได้ยังไงว่ากำลังกินใคร ประกอบอาชีพอะไร แล้วทำไมเนื้อกวีถึงไม่อร่อย น่าจะเป็นเนื้อพิเศษหายากด้วยซ้ำ กวีใช่ว่าจะเป็นกันง่ายๆ

ผมคิดได้แค่นั้นกำลังสติก็ถดถอย ความง่วงนั้นครอบคลุมไปทั่ว ขอยืนยันอีกครั้งว่ามันสบายกว่าจริงๆจะดิ้นรนไปใยกลืนกายกับความมืดนี้จนไม่อาจสงสัยอะไรได้นาน ความฝันสีดำนั้นอ่อนนุ่ม และเชื้อเชิญให้เราทอดกายลงไปอย่างอ่อนโยน

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในวันธรรมดาอีกวัน ได้ยินเสียงรถรานอกหน้าต่าง มีเสียงหมาของเพื่อนบ้านเห่าคนแจกใบปลิวไม่ก็คนเก็บขยะ หมาจิ๋วพวกนั้นเห่าดะจนเสียนิสัย แสงขมุกขมัวนอกหน้าต่างฉาบโลกเป็นสีทึมเทา ทำไมเช้าวันจันทร์ถึงหดหู่อย่างนี้นะ ผมลุกจากเตียงแล้วล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัวอย่างไม่ต้องคิดเพราะเสื้อผ้านั้นเป็นชุดเดิมเดิมทุกวัน ทางสัญจรสายเดิม ลิฟท์ตัวเดิม สมองยังไม่เดินเครื่อง หรือมันจำยอมต้องเซื่องซึมมิอย่างนั้นจะทนใช้ชีวิตกับความซ้ำๆ ช้ำๆ นี้ไม่ได้ผมเดินเข้าไปนั่งในคอกเดิม เปิดคอมพิวเตอร์ พลางเช็คอีเมล์และเปิดเฟซบุ๊คดูว่ามีอะไรใหม่ๆ บ้าง เหมือนจะมีคนตีกันในความคิดเห็นเผ็ดร้อนของพระรูปหนึ่ง แปลกดี พระเป็นตุ๊ดได้ด้วยรึ ผมสงสัย บวชเป็นพระเท่ากับสมณเพศ ไม่ใช่เพศชายแล้วนี่ จะเป็นตุ๊ดได้ต้องเป็นผู้ชายก่อนสิ อ่านทุกอย่างผ่านตาแล้วก็ทำงานไป พิมพ์ตารางและรายการจัดซื้อ 800 กว่าชิ้นไว้ในฐานข้อมูล เป็นการพิมพ์ตามเอกสารที่ส่งแฟกซ์มา น่าสงสัยจริง ต้นทางก็ดูเหมือนจะคีย์เอาไว้ในโปรแกรม แต่ทำไมถึงต้องมานั่งทำใหม่ก็ไม่รู้ การงานสมราคาที่ร่ำเรียนปริญญาโทมาเสียนี่กระไร ไม่เป็นไร ถึงยังผมก็ได้ค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง ช่างเป็นวันชื่นคืนสุขอันสามัญ จริงแท้แน่นอน เปิดเฟซบุ๊คอีกครั้ง มีมหกรรมฉีกทึ้งคนคิดต่างเห็นต่างเป็นศพเกลื่อนโลกเสมือน ก่อสงครามนองเลือดในนี้ดีจังไม่มีใครเจ็บ บุคคลสาธารณะที่เคยมีคุณงามความดีอยู่บ้างถูกลากออกมาเอาไฟส่อง ประจานรสนิยมทางเพศและเรื่องซุกซนตามประสาชายเฒ่าที่นิยมเด็กสาว สนุกดีจริง

ผมหันไปมองนอกหน้าต่าง แสงห้าโมงเย็นอาบไล้ทุกอย่างเป็นสีส้ม สะกดให้ผมละสายตาจากหน้าจอ

เนิ่นนานที่วางสายตาไว้บนเมฆก้อนใหญ่ก้อนนั้น.. น้ำตาผมซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว นี่เราซาบซึ้งอะไรกัน เป็นคนอ่อนไหวง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกถ้อยคำกำลังเอ่อล้นออกมาจากตาน้ำภายใน แต่ยังไม่ทันได้จดจารไว้พลันรู้ตัวว่ากำลังฝัน

ลืมตามองความมืดสีดำอันเป็นนิรันดร์

หลับหรือยังผมได้ยินเสียงแหบแห้งจากทางปลายเท้า ลืมตาโพลงแต่มองไม่เห็นอะไร ทำไมผมถึงต้องรู้ตัวว่ากำลังฝันด้วยนะ วันคืนเก่าๆ น่าเบื่อเหล่านั้นมีค่ามากมายเหลือเกิน ความรันทดพวยพุ่งจนไม่อาจกลั้นน้ำตา แสงสีส้มในความฝันนั้นจริงแท้เกินไป

เมื่อไหร่่ไฟจะมา

เมื่อไหร่จะเช้าเสียที

มีมือเหี่ยวแห้งสากหยาบกร้านลูบเบาๆ ที่หน้าผาก สักพักลูบที่หน้าท้องแฟ่บๆ ของผม ผมนอนนิ่งและปล่อยให้มือนั้นสำรวจร่างตามใจชอบ หลับตามองสีดำในห้วงนิทราของตน ใบหน้าที่รุมล้อมนั้นเป็นเพียงสีเทาหลากเฉด ไล่ไปมาตั้งแต่อ่อนจนแก่ เค้ารางที่ปรากฏนั้นไม่สามารถบ่งชี้อะไรได้นอกจากความหิวโหย ผมรู้สึกถึงการควานควักบริเวณช่องท้อง โทษที เนื้ออาจจะเละไปหน่อย อยากจะบอกแต่เพียงคิดในใจ ถ้าพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้

มือของพวกเขาเย็น สั่นเทาอย่างน่าสงสาร นั่นเป็นความคิดสุดท้ายที่ผุดขึ้นมา.

มี, หน้าฝน

มีผีเสื้อบินล่องลอยในหัวของฉัน

มีก้อนเมฆเป็นร้อยพันในช่องท้อง

มีคำคล้องจับจองที่ว่างในมัดกล้ามนิ้วมือ

มีสีสันในฤดูฝนน้ำเจิ่งนอง

มีความหวั่นไหวโอบประคองความยึดถือ

มีแววตามีถ้อยคำมีความเงียบ

มีหยาดฝนเย็นยะเยียบในวันหนาว

มีท้องฟ้ามีจันทร์มีดวงดาว

มีบางคราวที่ไม่มีอะไร

.

.

.

สวัสดีมิถุนา

วิกฤติกลางคืน

ส่วนมากเราก็หมายความตามที่พูด
แต่บางทีเราก็หมายความอย่างที่ไม่ได้พูด
ทั้งนี้ทั้งนั้นมันไม่ใช่คำโกหก
และก็ไม่ใช่การเล่นสำนวนเพื่อความบันเทิงเริงใจ

เราอาจจะแค่ล้มเหลวในการสื่อสารเรื่องราวบางอย่างที่ยาก — เกินไป

หากจะโกหก
เราต้องรู้เสียก่อนว่าความจริงตรงข้ามคืออะไร
แต่เราก็ไม่รู้

เอาเข้าจริงก็ไม่รู้อะไรเลย

– – –

เหมือนเรื่องเล่า ที่ถูกจำกัดด้วยมุมมอง จากจุดมองหนึ่ง
ตรงจุดนั้น มีใครสักคนยืนอยู่

ผู้สังเกตการณ์ไม่สามารถสังเกตตนเองได้
เพียงแค่เงาสะท้อนคลับคล้ายคลับคลา
เราจะเห็นอะไรในกระจกเงาได้บ้าง
นอกจากภาพกลับซ้ายเป็นขวา และใบหน้านิ่งเฉย

ลองมองตนเองอย่างปกติ
แล้วจะเห็นว่าไม่คุ้นเลย

– – –

แปลกหน้าเสียจนนึกว่าฝันไป