id

 

สวัสดี เดือนใหม่

วันเสาร์ที่สามสิบเอ็ด ตุลาคม เราจัดงานเกษียณอายุอาจารย์ไอดีกันที่สมาคมฯ
เจอเพื่อน เจออาจารย์ เจอพี่  เจอน้อง มากมาย

เจอใครหลายคน ที่เคยได้พูดคุยหัวเราะกัน
เจอใครหลายคน ที่เพียงทักทายประโยคสั้นๆ กัน
เจอใครหลายคน ที่แม้ไม่ได้ทักทายอะไร แต่กลับรู้สึกดีและคุ้นเคย

ขนาดชื่อยังติดอยู่ที่ริมฝีปากด้วยซ้ำ

มีบางช่วงสั้นๆ ที่มองไปรอบๆ แล้วภาพเก่าๆ ตกตะกอนห้าปีโดนกวนให้ฟุ้งลอยขึ้นมา

อาจารย์อันเป็นที่รัก อาจารย์ที่กล่อมให้เราหลับ อาจารย์ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนโดนขังคุก 55

ทั้งดีทั้งร้ายมันก็เป็นความทรงจำปริมาณห้าปี
ที่ทำให้ชีวิตไม่ว่างเปล่า

.

ปล. ชอบกลอนของพี่ๆ ทั้งสองบท เรียกเสียงฮากันยกใหญ่ ชอบการแสดงของน้องๆ ทั้งๆ ที่สายตาพยายามจะไปโฟกัสตรงอื่นที่ไม่ใช่ตรงกลาง แต่มันก็โดดดึงดูดจริงๆ ชอบวีดีโอขำดี ชอบช่วงดวลเพลง my way ของจารย์ แม้จารย์ว่องจะสำลักน้ำไปหลายท่อน แต่นี่แหละ เราก็เป็นยังงี้แหละเนาะ

จดหมายหลายฉบับ บางบันทึก และวลีในนั้น

.

จดหมายหลายฉบับ บางบันทึก และวลีในนั้น
ณขวัญ ศรีอรุโณทัย
12092552


.

.

.

.

.

มิถุนา, หน้าฝน
ปีที่ฝนแรก ดั่งสายเข็ม พุ่งทิ่มแทง


คุณครับ

ผมอยากจะบอกอะไรบางอย่าง

คุณเป็นความฝัน คุณเป็นแรงบันดาลใจ คุณเป็นสิ่งดีงาม คุณเป็นความต้องการ คุณเป็นดวงดาว คุณเป็นดวงจันทร์ คุณเป็นยามเช้า คุณเป็นรอยยิ้ม คุณเป็นน้ำตา คุณเป็นหลายสิ่งหลายอย่างยามที่ไม่อยู่ ณ ที่นี้ แต่มีความสำคัญพอกันกับอากาศที่หายใจ นอกจากนั้นคุณยังทำตัวเหมือนอากาศ – ไม่สำคัญตัวเอง

ทั้งหมดนั้นยิ่งทำให้คุณสำคัญ

คุณเป็นมายา คุณเป็นภาพสะท้อน คุณเป็นสายรุ้ง คุณเป็นน้ำค้าง คุณเป็นจินตนาการ คุณเป็นเคมีในก้อนสมองที่เสียสมดุล คุณเป็นปฏิกิริยาของการกระทำที่ไม่ได้กระทำ ผมกำลังจะบอกว่าคุณเป็นภาพลวงตา แต่แล้วผมก็เปลี่ยนใจ

ช่างมันเถิด คุณจะเป็นอะไร มันก็ไม่ทำให้อะไรต่างไปสักเท่าไหร่

เอาล่ะหมดแล้วสำหรับเรื่องที่อยากบอก


ผมส่งจดหมายไปหาคุณเดือนละฉบับ แล้วนี่ก็เป็นเพียงจดหมายอีกฉบับ ผมมั่นใจว่าคุณไล่สายตาอ่านทุกอักษร ทุกเครื่องหมายวรรคตอน ทุกช่องไฟ ทุกที่ว่างที่ผมเว้นเอาไว้

แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณได้ยินอะไรบ้างไหม

เพราะเสียงที่คุณส่งกลับมา
นั้นเงียบ


บางทีผมลองจินตนาการว่าคุณกำลังคิดอย่างไรอยู่

คุณเศร้าหม่นทุกวารวัน จนสายตาเคยชินกับสีหม่นนั้น เหมือนหลอดไฟสลัวดวงเก่าในห้องน้ำที่มักทำให้เราประหลาดใจยามเปลี่ยนดวงใหม่ แปลกใจว่าเมื่อก่อนเราเคยใช้ชีวิตในแสงสลัวเลือนมาตลอดได้อย่างไรกัน คุณเศร้าหม่นทุกวันจนมันเป็นเรื่องธรรมดาและสงบสุขดี แต่การดำรงอยู่ของผม การเคลื่อนไหวของผม ถ้อยคำของผม ลมหายใจระโหยของผมนั่นล่ะที่ส่งคลื่นสะท้อนออกไปจนทำให้จักรวาลนิ่งสงบของคุณสั่นไหว มันกระเทือนเพียงเบาบาง จนเอียงไปเล็กน้อยไม่ถึง 0.5 องศาจากฐาน แต่ยอดหอคอยสูงลิบนั้นเอียงกะเท่เร่ จนคุณรู้สึกว่าทุกสิ่งไม่ได้อยู่ในที่สมควรอยู่

ซึ่งนั่นทำให้คุณรำคาญใจ

หรือว่า…

คุณสุขกายสบายดีในโลกใบนี้ โดยไม่เกี่ยวอันใดกับการมีอยู่ของผมเลยแต่น้อย โลกของคุณสดใสและมีสีสันจัดจ้าน ใบไม้ของโลกคุณก็เขียวสดตลอดกาล ดอกไม้ในโลกคุณก็เบ่งบานตลอดไป ไม่มีผืนดินที่แห้งแล้ง มันจะถูกปกคลุมด้วยหญ้านุ่มหรือไม่ก็ทุ่งดอกไม้อยู่เสมอ ผมเป็นเหมือนตัวละครในนิยายไร้สาระ ที่พยายามจะเป็นวรรณกรรมเชิงสัญลักษณ์ อันเรียกร้องผู้อ่านมากเกินไป และไม่เคยมีพฤติกรรมรวมถึงความรู้สึกอย่างที่มนุษย์มนาธรรมดาเขามีกัน

ซึ่งนั่นทำให้คุณประหลาดใจ

ผิดทั้งสองข้อ – ผมรู้ มันไม่มีทางที่การมีอยู่ของผมจะทำให้เกิดผลลัพธ์บ้าบอสองทางนั้น มันเป็นเพียงจินตนาการไร้เดียงสาที่ผมกำลังจินตนาการ เพียงเพื่อจะตอบคำถามว่า ระหว่างคุณกับผมนั้น มันเชื่อมโยงด้วยความรู้สึกใดกันแน่

ผมรู้ว่าคุณจะตอบกลับมาด้วยความเงียบเช่นเดิม ผมรู้ว่าคุณจะแสร้งทำเหมือนผมไม่มีตัวตนเช่นเดิม แต่ขอโทษเถอะ ผมมีความจริงข้อหนึ่งอยากจะบอก

การดำรงอยู่ของทั้งคุณ ทั้งผม และทั้งจักรวาล นั้นเกื้อหนุนกันและกัน มันป่วยการที่คุณจะทำเสมือนผมไม่มีตัวตน เพราะแม้คุณจะส่งผ่านมาเพียงความเงียบ

แต่คุณก็ทำให้ผมเปลี่ยนไป

และมันก็เป็นเช่นนี้ด้วยในทางกลับกัน


เหมือนที่แล้วๆ มา,

ผมเอง

.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

.

.

.

.

12 มิถุนา

เช้านี้ไม่มีอะไรต่างจากเช้านั้น ลูกๆ ทั้งสามคนไปโรงเรียนหมดแล้ว ทิ้งจานชามและคราบอาหารเช้าไว้ที่อ่างล้างจานหลังบ้าน ฉันเอาผ้าออกจากเครื่องซักผ้า แต่พอเงยหน้ามองฟ้ากลับเห็นเมฆครึ้ม บางทีฉันยังไม่ควรจะตากผ้า หรือว่าตากๆ ไปเถอะเพราะสภาพอากาศนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครจะบงการได้ แม้ว่าเสื้อผ้าทุกชิ้นจะเหม็นอับ แล้วลูกๆ ทั้งสามของฉันก็จะบ่นว่าฉัน โดยผลักคำว่าบุพการีไปไว้ข้างๆ

บุรุษไปรษณีย์ขี่จักรยานยนต์มา แล้วเหน็บบจดหมายไว้ที่ประตูรั้ว มันคงจะเป็นจดหมายธุรกิจต่างๆ จากธนาคาร ไม่ก็โฆษณาจากบัตรเครดิต ไม่ก็ห้างร้านต่างๆ ที่แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์กิจการอันรุ่งเรืองของตน ร่วมแสดงความยินดีมาในกระดาษพิมพ์สี่สีอายุสั้น จดหมายทั้งหมดนั้นคงจะจ่าหน้าถึงสามีของฉันเช่นทุกครั้ง ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกต่อไปแล้ว เขาไม่ได้อาศัยอยู่ เพราะเขาเจอบ้านของเขาแล้ว

ที่นั่นมีคนที่เขารัก เขายังคงประพฤติตนเป็นพ่อที่ดี โดยการส่งเงินค่าใช้จ่ายทางการศึกษาของลูกๆ และค่าใช้จ่ายจิปาถะภายในบ้านมาให้ไม่ขาดตกบกพร่อง นั่นแหละ ความเป็นพ่อที่ดีมีเท่านี้ ลูกๆ ทั้งสามคนบอกฉันเช่นนั้น และฉันก็ทำอะไรไม่ได้ไปกว่าการเป็นแม่ที่ดี ที่ล้างจานชามทุกใบให้ใสสะอาด และตากผ้ายามแดดแรง เพื่อให้เสื้อผ้าทุกชิ้นมีกลิ่นแดดหอม

แต่มีจดหมายหน้าตาลำลองเกินกว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจแซมมาหนึ่งซอง เป็นซองจดหมายสามัญสีครีม เปียกชื้นนิดหน่อยเพราะฝนของช่วงนี้ และสแตมป์สามัญสีน้ำตาล พระบรมฉายาลักษณ์ราคา 3 บาท

จดหมายนั้นไม่ได้จ่าหน้าถึงสามี ไม่ได้จ่าหน้าถึงลูกๆ ทั้งสามคน และไม่ได้จ่าหน้าถึงฉัน แต่ว่าที่อยู่นั้นถูกต้อง ฉันสงสัยว่าชื่อของคนบนซองจดหมายนั้นคือใคร แม้ไม่รู้จักแต่ฉันกลับคุ้นเคย

บนซองสีครีมจ่าหน้าถึงวลี

ฉันแกะซองออกอ่าน ถ้อยคำของชายคนหนึ่งพุ่งปะทะจนฉันนึกขัน เขาพร่ำพูดเรื่องใดกัน แม้จะละคำบางคำไว้ แต่ฉันคิดว่าเขาตั้งใจเหลือเกินที่จะเอ่ยความรู้สึกอย่างคำนั้น

ไอ้คำเดิมๆ ที่ทำให้หัวใจของความเยาว์สั่นไหวนั่นล่ะ

หลังจากอ่านจบจนครบทุกที่ว่างในนั้น ฉันเก็บมันลงลิ้นชัก บอกตัวเองว่าพระเจ้าคงส่งมันมาให้ฉัน เป็นของขวัญวันเกิดปีที่สี่สิบจากชายนิรนาม

.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

.

.

.

.

(No Subject)
From: Me
Sent: Wednesday, June 12, 2009 11:48:11 PM
To: Secret


ตั้งแต่ผมได้ตำแหน่งนักจำแนก ผมก็ใช้สิทธิในการจำแนกทุกสิ่ง

แรกเริ่ม จะต้องรื้อสรรพสิ่งออกมาวางแผ่บนที่ว่าง พิจารณาอย่างช้าๆ มองหาความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละสิ่ง จากนั้นจึงเลือกกฎเกณฑ์ชุดหนึ่งขึ้นมา แล้วจำแนกตามกฎเกณฑ์นั้นๆ การจำแนกที่สัมฤทธิ์ผลคือเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ทุกหมวดหมู่มีสมาชิกน้ำหนักพอจะเปรียบเทียบกันได้ มิใช่แตกต่างกันมหาศาล

มันยากเสมอ เวลาเริ่มต้นว่าจะเลือกกฎเกณฑ์ข้อไหน

และยากที่สุด เมื่อต้องจำแนกมนุษย์

บ่อยครั้งผมใช้เกณฑ์คุณภาพของความสัมพันธ์: มิตร ศัตรู คนรัก คู่อาฆาต เจ้ากรรม นาย(บางทีนาง และบางทีไอ้)เวร คนรู้จัก

ซึ่งหมวดหมู่ต่างๆ นั้นช่างไร้ความสมดุล บ้างก็มีสมาชิกล้นหลาม บ้างก็ร้างไร้ไม่มีใครมีคุณสมบัติพอจะแปะป้ายนั้น

คุณคงจะรู้ดีว่าคุณเองอยู่ในหมวดไหน

ห้วงขณะที่สรรพสิ่งวางเผยโฉมบนที่ว่าง เป็นเวลาที่ผมสับสนอยู่เสมอ เมื่ออดีตผมเคยจำกัดตัวเองมากไป บางหมวดหมู่ผมจำกัดสมาชิกไว้แค่หนึ่ง อย่างเช่นหมวดคนรัก แต่เวลาก็สอนผมว่ามันไม่ใช่เลย สมาชิกในหมวดที่มีเพียงหนึ่งนั้นกลับไร้น้ำหนัก ไร้พลังที่จะไปคัดคานกับหมวดตรงข้าม – อย่างเช่นหมวดศัตรู ที่นับวันจะยิ่งใหญ่โตขึ้นทุกที

แล้วความสับสนก็ทบทวีเมื่อสมาชิกในแต่ละหมวดนั้นสลับคุณสมบัติกัน บางมิตรนั้นมีความเป็นศัตรูอิงแอบอยู่ บางคู่อาฆาตนั้นกลับลุ่มหลงกันและกันอย่างกับว่าเป็นคู่รัก

หลักศีลธรรมนั้นไร้ค่าหลังจากที่ผมเป็นนักจำแนก ภรรยาของผม ผมจัดเธออยู่ในหมวดนางเวร ส่วนลูกทั้งสามก็อยู่ในหมวดใกล้เคียงกัน พวกเขาเป็น คนรู้จักอีกไม่ถึงห้าปี ผมคงจะต้องต้อนพวกเขาเข้าคอกมิตร

หรือไม่ก็ศัตรู

ฟังดูเป็นการคาดคะเนที่น่าเศร้า
เศร้าที่สุดก็เพราะมันมีเค้าความจริง

แต่นั่นจะสำคัญอะไร ในเมื่อหมวดคนรักของผมนั้น
ยังไม่ว่างเปล่า

.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

.

.

.

.

12 มิ.. 2552

วันนี้ฝนรินบางเบาแต่เช้า พวกเราเลยไม่ได้ออกไปไหนกัน อากาศขมุกขมัว

ตรงหน้ามีนกกระจอกๆ บางตัวบินหนีฝน

ขณะที่ฉันนั่งเขียนบันทึกอยู่นี้ ฉันสังเกตเห็นว่าชายวัยประมาณสามสิบปลายๆ คนหนึ่งในแพข้างๆ ก็กำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่บนแพโทรมๆ ที่เรานอนหลับใหลเมื่อคืน เชื่อมต่อกันและสั่นไหวขึ้นลงด้วยคลื่นน้ำลูกเดียวกัน ไม่แน่ว่าทุกคนบนแพต่างก็ฝันซ้อนเหลื่อมกัน ร้อยเรียงอย่างซับซ้อน เป็นตัวละครของกันและกัน และตื่นขึ้นมาด้วยความแปลกหน้า เพราะแม้จะจำเหตุการณ์ในฝันได้ แต่จะไม่มีใครเอ่ยอะไรถึงเรื่องราวในค่ำคืนที่ผ่านมา

สงสัยว่าฝนหยดเล็กๆ และเมฆสีดำทะมึนนั่นจะทำให้ฉันเพ้อเจ้อ

ฉันมาเที่ยวพักผ่อนกับเพื่อนๆ ของฉัน และชายคนนั้นก็คงจะมากับภรรยา (ที่วันๆ มักจะหมกตัวอยู่แต่ด้านใน) แต่ในขณะที่แพของฉันมีเสียงหัวเราะเอะอะเสมอๆ เขากลับนั่งเหม่อมองหยดฝนกระทบผิวน้ำอยู่เงียบๆ คนเดียว หนังสือที่เขาถืออยู่ตรงหน้านั้นเหมือนวัตถุโปร่งใสที่เขามองทะลุไป เนิ่นนาน เขานั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ประพฤติตนเหมือนสิ่งของที่เรามักจะละไว้ไม่บรรยายถึงในงานวรรณกรรม

สักพักหนึ่งเขาปิดหนังสือ และเปิดสมุดบันทึก เขียนอะไรบางอย่างอย่างช้าๆ เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม หยดฝนยังคงตกกระทบน้ำ บางเบา เป็นรอยเปื้อนนับไม่ถ้วนที่ปรากฏชั่วครู่เดียว

ฉันนึกไปว่าทุกถ้อยของเขาในสมุดบันทึกก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมไหวบนผิวน้ำ และนั่นทำให้อากาศสั่นสะเทือน ส่งผลถึงอารมณ์ของใครสักคนที่เขาเขียนบันทึกถึง

เขาเขียนถึงใครสักคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาคงจะเขียนถึงคนที่เขามองเห็นในหยดฝน

ฉันเองก็อยากจะเขียนถึงใครคนอื่น แทนที่จะลอบสังเกตชายแปลกหน้า แล้วบรรยายเรื่องที่ไม่มีเรื่องลงในสมุดบันทึก

แต่ภาพของผู้ชายวัยกลางคน ที่ก้มหน้าเขียนอะไรบางสิ่งลงในสมุดอย่างครุ่นคิด ท่ามกลางสายฝน และอากาศหนาหนัก กลับทำให้ฉันนึกถึงจดหมายบางฉบับจากใครบางคนที่ส่งมาทุกเดือน แต่แล้วก็หายไป

เวลาเขียนจดหมาย เขาเขียนด้วยท่าทางอย่างนี้รึเปล่านะ

ฝนที่รินไหลหายไป ผิวแม่น้ำไม่มีสิ่งใดตกกระทบ เขาเขียนบันทึกเสร็จแล้ว และฉีกกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากสมุดบันทึก ถือกระดาษเปื้อนรอยหมึกแผ่นนั้นไว้ในมือซ้าย ฉันคงจะจ้องเขานานเกินไปจนเขารู้ตัว เขาหันมายิ้มบางๆ ให้ฉัน ฉันหลบสายตาวูบ รู้สึกเหมือนโดนรู้ทัน

แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะเบือนสายตาจากเขาแล้วแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ เขากลับปล่อยมือทิ้งกระดาษแผ่นนั้นลงน้ำ แล้วยิ้มกว้างก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปด้านใน

ฉันมองแผ่นกระดาษนั้น มันลอยอ้อยอิ่ง หมึกสีน้ำเงินเข้มละลายออกมาเล็กน้อย ถ้อยคำยังคงอยู่ในกระดาษ ถูกขังในระนาบแบนราบ ไร้ความหมาย และนั่นทำให้ฉันรู้สึกเสียดาย

ฉันควรจะกลับมาที่สมุดบันทึกของตัวเองได้แล้ว เพราะเราไม่ควรจะเสียดายสิ่งต่างๆ นานเกินไป ฉันลากดินสอผ่านกระดาษ บันทึกเรื่องราวเหมือนเขียนจดหมายถึงตัวเอง มันไม่ยากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะรู้ว่าควรจะหยุดตอนไหน ตัดตอนไหน และโยนดินสอทิ้งตอนไหน

น่าสงสัยว่าเขาเอาเรื่องราวอะไรมากมายมาเขียนจดหมายทุกๆ เดือน หรือว่ามันง่ายกว่าการมองหน้าแล้วพูดจากันตรงๆ

นั่นสินะ… กลับไปฉันจะลองเขียนจดหมายดู

เสียงหัวเราะขันดังเล็ดลอดมา เพื่อนๆ กำลังคุยกันเรื่องห้องพักฮันนีมูนสวีทที่ประตูห้องน้ำนั้นเพียงเป็นบานกระจกใส มองเข้าไปเห็นส้วม
จะได้มองเห็นคนรักในทุกท่วงท่า แม้กระทั่งนั่งอึไง” ใครสักคนเปิดประเด็น
อี๋”
เพราะความรักนั้นซึมซาบเข้าไปในทุกอณู เหมือนจิตวิญญาณเครื่องใน เอ๊ย ภายใน” ยังติดลมอยู่
โอ้ ที่รักจ้ะ นี่คือซากคาเวียร์เมื่อคืน ยังเป็นเม็ดอยู่เลยจ้ะ” เริ่มมีลูกคู่
มันช่างหอมหวาน เหมือนความร๊ากของเรา” เข้าขากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย
แต่คราวหน้าเรามาพิจารณาความรักในเม็ดข้าวโพดแทนดีกว่า เหลืองสดใส เห็นเป็นเม็ดสวยงามดี” หมอนั่นกล่าวสรุป

บทสนทนายามเช้าเจื้อยแจ้วในทำนองนี้ เหมือนไร้สาระใดๆ แต่จะว่าไปมันก็ตลกดีจริงๆ นั่นแหละ ฉันน่าจะวางดินสอ แล้วเข้าไปนั่งหัวเราะร่วมกับคนอื่นๆ ดีกว่า

.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

.

.

.

.

แม่,

หนูคิดว่ากลับมาจากไปเที่ยวแล้วอาจจะผ่อนคลายและเข้าใจแม่ได้มากขึ้น

แต่แม่คะ วันที่แม่เล่าเรื่องเรื่องไอ้หมอนั่นให้หนูฟัง หนูก็พยายามจะทำความเข้าใจอย่างยิ่งแล้ว หนูพยายามคิดอย่างที่แม่บอกว่า คิดซะว่าแม่ไม่ใช่แม่ แต่เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง หนูพยายามอย่างมากที่จะคิดเช่นนั้น แต่ก็ยังไม่เข้าใจอะไรอยู่ดี

หนูคิดว่าเขาน่าจะชัดเจนมากกว่านี้ ไอ้ถ้อยคำที่เขาพูดมันเป็นเพียงการเล่นโวหารพลิกลิ้น มันฟังบางเบาและไร้น้ำหนักเกินกว่าจะยึดจับเอาไว้ได้

ยิ่งกว่านั้น เขามีเมีย มีลูก แต่ความรู้สึกที่เขาพูดถึงทั้งเมียและลูกนั้นมันช่างร้ายกาจ เขาคิดอย่างนั้นจริงๆ ล่ะหรือ คนแบบนั้นนี่นะที่ให้ความสุขกับแม่ได้

ระหว่างสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา การนอนเฉยๆ บนแพกลางแม่น้ำ และฟังเสียงความเงียบบ้าง พูดตลกเรื่องไร้สาระบ้าง ก็ไม่ได้ทำให้หนูเข้าใจอะไรอย่างที่แม่หวังให้หนูเข้าใจ

หนูขอโทษ สำหรับถ้อยคำที่เคยโพล่งใส่แม่ นึกย้อนกลับไปมันก็ช่างเป็นคำที่ร้ายกาจเกินกว่าจะพูด

แต่ถึงจะขอโทษ ก็ไม่ได้หมายความว่าหนูจะยอมรับและเข้าใจในสิ่งที่แม่ทำหรอกนะคะ


สักวันเธอจะเข้าใจ – แม่พูดซ้ำๆ อยู่แค่นี้

สิ่งที่แม่พยายามอธิบายและเรียกร้องความเข้าใจจากหนูคงจะยากเกินไป เพราะอย่างไรหนูก็ไม่สามารถคิดว่าแม่เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังมีความรัก ที่รู้เท่าทันกรอบทางศีลธรรมอันคับแคบ หนูทำไม่ได้หรอก

ถึงเราจะสนิทสนมกันขนาดไหน แต่แม่…ก็ยังเป็นแม่นั่นแหละ

สักวันที่ว่านั้นเมื่อมันมาถึง เราก็จะยังเป็นแม่ลูกกันอยู่ ไม่ใช่หรือคะ?

ถ้าหากย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง แม่จะทำสิ่งต่่างๆ อย่างที่เป็นรึเปล่านะ

ย้อนกลับไปจนถึงจุดที่หนูไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้ นั่นอาจจะดีกว่ามั้ยนะ

แต่หนูก็อยู่ที่นี่แล้ว และความเจ็บปวดใดๆ นั้น พบและผ่านเพียงครั้งเดียวก็พอแล้ว

บางทีหนูชักจะสงสัยว่าโรคซึมเศร้านั้นเป็นพันธุกรรมในครอบครัวของเรา เป็นความบ้าคลั่งที่อยากจะทำร้ายตัวเองด้วยความรู้สึกที่ตัวเองนั่นแหละสร้างขึ้นมา แล้วก็จมลงในนั้น จนสาสมกับความสุข


หนูรู้สึกว่าหากนี่เป็นหนังสักเรื่อง เรื่องราวของแม่จะต้องเป็นเรื่องราวของตัวหนูเองเข้าสักวันแน่ๆ
ซึ่งนั่นเป็นอนาคตที่หนูไม่เคยต้องการ

ตกลงเรื่องของพ่อที่แม่เคยเล่ามาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโกหกใช่มั้ยคะ หนูไม่โกรธแม่เท่าไหร่ในความจริงอันนี้ เพราะแม่ก็คงลำบากใจหากจะเล่าว่าพ่อฆ่าตัวตายให้ลูกสาวตัวเล็กๆ ฟัง แต่มันก็ผ่านมานานแล้ว

จนวันนี้ แม่ก็น่าจะรู้ว่าหนูรู้เรื่องราวทั้งหมดมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่หนูอยากได้ยินเรื่องเล่าจากแม่ แม่รู้สึกอย่างไรบ้าง หนูอยากรู้เหลือเกิน แม่คงไม่พอใจที่หนูคุ้ยความทรงจำนี้ออกมา แต่เรื่องของพ่อ ชีวิตของพ่อ ก็น่าจะเป็นสิ่งสวยงามสิ่งหนึ่งในความทรงจำ

แม่ลืมพ่อของหนูไปหรือยังคะ

ถ้าหากยังเหลือตัวตนของพ่อตกค้างในความทรงจำอยู่บ้าง
กรุณาเล่าเรื่องราวของเขาให้หนูฟังหน่อยเถอะค่ะ

หนูจะได้เลิกเชื่อนิทานหลอกเด็กเรื่องเก่านั่นได้เสียที

เพราะตอนนี้เหมือนจะมีนิทานเรื่องใหม่ๆ จากผู้ชายคนหนึ่งมาทำให้โลกของหนูสั่นสะเทือน ตัวอักษรทางจดหมาย พรรณนาบางสิ่งที่เขารู้สึก แต่หนูก็กลัวเหลือเกินว่ามันเป็นเพียงโวหารพลิกลิ้นตวัดไปมา

เหมือนคำที่หมอนั่นอธิบายกับแม่

เหมือนจดหมายลาของพ่อ



รักษาสุขภาพนะคะ

วลี, ลูกของแม่

.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

.

.

.

.

กรกฎา, ฝนยังไม่หยุด


คุณครับ

นี่อาจจะเป็นจดหมายฉบับสุดท้าย หรืออาจจะเป็นเพียงจดหมายฉบับที่สิบสอง ครบหนึ่งปีแล้วที่ผมเขียนมาหาคุณ ตั้งแต่วันนั้น วันแรกของสายฝน จนวันนี้มรสุมและฝนหยดเดิมกลั่นตัวลงมาจากเมฆอีกรอบ…คุณเปลี่ยนไปบ้างมั้ยครับ

ส่วนผมเอง
ผมคิดว่ามีหลายอย่างเปลี่ยนไป

หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมทำ เหมือนเรื่องเล็กๆ ที่น่าขบขัน ไร้เหตุผล แต่มันจะเต็มเปี่ยมขึ้นมาทันทีเมื่อคุณหัวเราะคิกขึ้นมาได้ มันจะมีความหมายเปี่ยมล้นหากเพียงทำให้คุณสบายใจ

และจดหมายสิบเอ็ดฉบับที่ผ่านมา ผมเห็นคุณยิ้มน้อยๆ ในความเงียบ และนั่นเท่ากับคำตอบของบทสนทนายาวยืดระหว่างเรา

เพียงแต่…
ฝนนั้นไม่ตกตลอดกาล
และรอยยิ้มใดๆ ล้วนไม่คงทน
น้ำจะท่วมโลกเป็นแน่แท้
และการยิ้มนานเกินไปทำให้เราเมื่อยเหลือจะทน

หวังว่าคุณจะสบายดี


เหมือนเดิมในบางส่วน,

ผมเอง

.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

.

.

.

.

(No Subject)
From: Me
Sent: Friday, June 14, 2009 01:35:04 PM
To: Secret

เมื่อวันสองวันที่ผ่านมา ผมได้ยินบทสนทนาบ้าๆ บอๆ ของเด็กกลุ่มหนึ่ง (ไว้ผมเล่าให้ฟังทีหลังว่าผมไปไหนมา) แล้วก็นึกอะไรได้ขึ้นมา

แม้ในตัวคุณเอง ผมก็ยังจำแนกออกเป็นส่วนๆ ได้ ทั้งส่วนที่ชอบ ส่วนที่ชัง ส่วนที่ทั้งชอบและชัง

สิ่งปฏิกูลในตัวคุณอย่างเช่นของเสียต่างๆ นั้นเป็นสิ่งน่าชัง แต่เราก็ไม่สามารถจะแยกส่วนตัดทิ้งไปได้ ไม่ว่าจะโดยนักจำแนกผู้สามารถหน้าไหน เพราะหากปฏิเสธส่วนหนึ่งส่วนใดไป มันก็ไม่ใช่คุณ

อาหารเลิศรสให้ความสำราญยามดื่มกิน หล่อเลี้ยงร่างกายคุณให้เปล่งปลั่งหอมหวล เป็นน้ำเป็นนวลในอ้อมกอดของผม

แต่อาหารตกค้างในลำไส้ใหญ่ย่อมต้องถูกระบายออกในที่ที่สมควร ผมไม่ปฏิเสธมัน แต่ผมก็ไม่ได้ยินดีอันใดกับมัน


ทั้งหมดนั่นก็เหมือนกับเรื่องระหว่างเรา

ก็หวังว่าคุณคงเข้าใจ


.. ผมพร้อมจะไปพบวลีแล้ว สัปดาห์หน้าผมว่างช่วงเย็นทุกวัน ฝากเป็นธุระช่วยจัดการนัดให้ด้วยครับ

.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

.

.

.

.


to my unborn child

วันหนึ่งลูกจะเข้าใจ ว่าการเป็นผู้ใหญ่นั้นมันไม่ง่ายเลย

และการต้องเลือกนั้น แท้จริงไม่ได้เหลือทางเลือกที่เราพอใจให้เลือกสักเท่าไหร่หรอก

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั้นก็เกิดขึ้นแล้ว เราก็เพียงจัดการเรื่องต่างๆ ที่ดาหน้าเข้ามาอย่างสุดความสามารถ


ถ้าเราเอาหยดน้ำตาทั้งหมด และพลังงานที่เสียไปกับการร้องไห้ทั้งหมด ฝังไว้กับอดีต เราคงเหลือแรงกายแรงใจมากพอที่จะใช้ในอนาคต โดยที่ไม่เหนื่อยเกินไป

ที่ว่ามานั้น พ่อเชื่ออย่างยิ่งในสิ่งที่พ่อพูด

แม้ว่าตอนนี้พ่อจะกำลังร้องไห้อยู่ก็ตาม

พ่ออ่อนแอเกินไป

และเหนื่อยเกินไป

มันน่าอายใช่มั้ยที่คนเป็นพ่อจะพูดอย่างนี้


คนอื่นอาจจะมองว่าสิ่งที่พ่อทำนั้นเป็นเรื่องโง่เขลา แต่พ่อใคร่ครวญดีแล้ว มันควรจะจบลงแบบนี้แหละ

จริงๆ แล้วพ่อไม่ได้ตั้งใจให้นี่เป็นจดหมายลา มันเป็นแค่จดหมายฉบับหนึ่งเท่านั้น พ่อไม่ได้จากไปไหนไกล ครึ่งหนึ่งของพ่อจะสถิตย์อยู่ในลูกเสมอ ครึ่งหนึ่งของพ่อ เฉพาะส่วนที่ดีงามที่มอบให้ลูก

ครึ่งหนึ่งของพ่อ จะอยู่กับลูกตลอดไป

ส่วนอีกครึ่งที่เหลือ

พ่อขอลา

.


– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

.

.

.

.

.

กวี…


ฉันได้รับจดหมายแค่สิบเอ็ดฉบับเอง

หนึ่งฉบับที่หายไป

ฉันยังอยากอ่านมันอยู่นะ


วลี

.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

.

.

.

.


writer’s note: เรื่องสั้นเรื่องนี้ ไม่ได้มีอะไรมาก
มันเพียงเริ่มจากจดหมายฉบับหนึ่งในจินตนาการ

จดหมายที่ไม่อาจเขียนจริงๆ แล้วส่งให้บุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงๆ
เพราะมันอาจจะไม่จริงพอสำหรับโลกใบนี้
จากนั้นจึงเพิ่มน้ำหนักในความสัมพันธ์ต่างๆ ของแต่ละตัวละครในความฝัน
เพิ่มบทสนทนาเพี้ยนๆ ที่เกิดจากความปลอดโปร่งใจตอนไปเที่ยวสุโขทัย
ก่อนจะกลับมารื้อแล้วแก้ใหม่ ในความหม่นเทาของกรุงเทพมหานคร

.

.

.




open school – the 1st open talk

พี่มาโนช พุฒตาล เล่นกีตาร์เหมือนเล่านิทาน พี่อีกคน… (จำชื่อคนไม่เคยจะได้นะเรา) ร้องเพลงเก่าๆ ของ The Who บ้าง Pink Floyd บ้าง อีริค แคลปตันบ้าง เล่นไลน์ประสานบ้าง เป็นบทเพลงบรรเลงในห้องแคบ ที่ให้ความสำราญและจินตนาการ

แต่ที่จับใจผมที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของอยุธยา เมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ ในเพลงทำนองนั้น… สงสัยจะเป็นเพราะพึ่งไปเที่ยวอยุธยาเมื่อต้นๆ เดือน ผมเลยยังจดจำอิฐหักและซากปรักได้อยู่

นอกจากเรื่องเล่าและบทเพลง ผมเห็นผู้ชายสองคนตรงหน้าที่เป็นเพื่อนกันมาสามสิบกว่าปี แล้วผมก็รู้สึกดี…ที่คนเราอายุยืนกว่าหมาแมว จนสามารถผูกสัมพันธ์กันได้นานขนาดนั้น และมีเรื่องเล่ามาแบ่งปันกัน

งานนี้มีแต่เรื่องของฝนฟ้าที่ไม่ได้คาดหมาย หม่อมฯเชนเลยติดน้ำป่าอยู่ที่ห้วยขาแข้งไม่ได้มาร่วมวงพูดคุย (ทั้งๆ ที่งานนี้จัดเพื่อเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ของหม่อมฯแท้ๆ) และก็เพราะฝนอีกนั่นแหละ (อาจจะฝนห่าเดียวกัน 55) เราเลยต้องนั่งฟังดนตรีกันในห้องแทนที่จะเป็นในสวน… ผมสงสัยว่านี่อาจเป็นบทเรียนจากคุณครูใหญ่ ที่ส่งสัญญาณเตือนว่า อย่าลืมตัวว่ากำลังเหยียบอยู่บนดินและนอนใต้ท้องฟ้า เรามันก็แค่สัตว์โลกตัวเล็กๆ

เหมือนกับพี่บอย (ฮ่า คนนี้จำชื่อได้) ที่เล่าประสบการณ์ของการเดินป่าให้เราๆ ฟัง
ในวันที่แปดที่เดินหลงวนเวียนกลับมาที่เดิม เราควรจะดื้อรั้นไปต่อ หรือศิโรราบกับป่า…แล้วกลับบ้าน

แต่จริงๆ ก็ยังไม่ได้คิดไกลถึงขั้นนั้นหรอก…

ผมนึกไปถึงแมลง มด อาการแพ้ขั้นรุนแรง ลมพิษ อาการคัน และสติสัมปชัญญะที่ค่อยๆ หลุดลอย

ผมนึกไปถึงเสียงในหัวที่บอกว่า เฮ่อ ง่วงเหลือเกิน ฉันขอหลับตาตรงนี้ได้ไหม

แล้วเช้าวันต่อมาขณะกำลังเดินรั้งท้ายในเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ผมก็ก้มมองดูสายมดดำขบวนยักษ์ที่พาเหรดขนานกับเรา  ดูน่าพิศวง แต่ผมก็ขนลุกไปพร้อมๆ กัน

. . .

ทุกก้าวเดิน มีเรื่องวูบวาบในหัว ปลายทางของเราคือน้ำตกเจ็ดคด แต่ผมก็ไม่ได้จดจ่อที่จุดหมายสักเท่าไหร่ ผมกำลังคิดว่าทางเดินนี้มีกลิ่นหอมดี
ทุกก้าวที่เหยียบ ย่าง ทรงตัว มีภาพซ้อนทับมากมายหลายหลาก คนข้างหน้าเดินอย่างระมัดระวัง ติดจะเกร็งอาจเพราะรองเท้าแตะคีบไม่เหมาะจะมาย่ำดินเท่าไหร่
มีเสียงนก แมลง ลิง และแกรกกรากของกิ่งไม้

ภาพอีกหลายภาพทับซ้อน เมื่อสามปีก่อนที่เราเดินในทางหน้าตาประมาณนี้ แต่ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกอย่างนี้…

คิดอะไรมากมายเล่า

สันติภาพทุกย่างก้าว อย่างที่ ติช นัท ฮันห์ กล่าว นั้นยังห่างไกลเหลือเกิน

. . .

คืนแรกที่ไปถึง เสียงกร็อบที่เท้า บอกเราว่าหอยทากตัวเขื่องสิ้นชีพไปอีกหนึ่งตัว

ถึงมันจะมีเปลือกห่อหุ้ม แต่ก็ช่างเปราะบาง ป้องกันอะไรไม่ได้

อาจจะเหมือนคนที่สร้างเปลือกแข็งห่อหุ้ม เหมือนจะกันอะไรได้

แต่ก็ไม่ได้

ชีวิตของมันหลุดลอย ไม่มีโอกาสกลับไปเล่าให้หอยทากตัวเล็กๆ ฟังเรื่องราวของวันนี้

. . .

ถอดเปลือกทิ้งไป

จุ่มเท้าลงในน้ำตก ฟังเสียงใบไม้ไหว
ปล่อยใจไหลไปในสายน้ำ

แล้วนั่งนิ่งนิ่งสักพักหนึ่ง

ขอบคุณโจ้ที่ชวนไป
เพื่อนคุ้นเคยที่บังเอิญเจอ
และคนแปลกหน้าที่มาตรงนั้น
งานแรกของโอเพ่นสกูล

ปลายสิงหา ‘๕๒
,เจ็ดคด โป่งก้อนเส้า
สระบุรี

เดี๋ยวคืนนี้โทรหา

1
ผมโพล่งกลางวงอยู่บ่อยๆ ว่าผมไม่เชื่อเรื่องผี ในเวลาที่ใครสักคนกำลังเล่าประสบการณ์ลี้ลับ แต่ผมก็ไม่เชื่อเรื่องชีวิตเหมือนกัน
ความเชื่อข้อหลังนี้ผมไม่เคยได้เอ่ยกับใคร แม้ในยามที่ใครสักคนกำลังพร่ำบ่นก่นด่าชีวิตใคร

โทรศัพท์ของผมสั่น ขัดจังหวะการฟังเพื่อนพล่ามที่กำลังได้อรรถรส ผมปลีกตัวออกมา เสียงเรียกเข้าเป็นเสียงเพลงเก่าๆ ที่อินโทรเป็นเมโลดี้นาฬิกาปลุกยามเช้างัวเงีย เพลงนี้ผมตั้งไว้เฉพาะสายเรียกเข้าของเธอ เพราะเธอทำให้ผมนึกถึงการนอนตื่นสาย ความง่วง และสวนสาธารณะยามเย็นที่สงบเงียบกลางเมืองใหญ่

ผมกดปุ่มรับสาย แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าไม่เคยกดทิ้งเลยสักครั้งเดียว…มันจะสะใจและรู้สึกดีมั้ยนะ

“ว่างาย”

เธอพูดชื่อผมด้วยน้ำเสียงหม่นเศร้า กระซิบแผ่วเบาว่าคิดถึง เบาเสียจนผมไม่ได้ยิน จริงๆ เธออาจจะไม่ได้พูด แล้วเธอก็เงียบไปนาน ปล่อยให้ผมฟังเสียงอวกาศจากที่ไกลแสนไกล

ผมยังคงไม่เชื่อเรื่องผี รวมไปถึงการที่ผมไม่เชื่อเรื่องชีวิต แม้ว่าเธอจะโทรมาหาตามห้วงเวลา.. เธอโทรมาไม่บ่อย ผมไม่แน่ใจว่าเดือนละครั้งหรือทิ้งห่างเนิ่นนานกว่านั้น บางทีความรู้สึกใกล้ไกลก็เล่นตลกกับเวลา เธอโทรมาเป็นกิจวัตรหลังจากที่เธอละทิ้งชีวิตจากโลกนี้ไปแล้ว และนั่นก็ทำให้ผมงงงวยในบางคราว ผมไปงานศพเธอที่วัดในเมือง ศาลาเรียงกันเป็นพรืดจนทำให้ผมหดหู่เมื่อนึกไปว่านี่คือการค้าในความตาย รถยนต์เรียงราย พวงหรีดประดับประดา คนนั่งพนมมือ ฟังเสียงสวดไร้ความหมาย ผมไม่มีน้ำตาแม้สักหยด แต่กลับรู้สึกคอแห้งเป็นผง ผมดื่มน้ำไปหลายขวดในคืนนั้น ยิ่งดื่มก็ยิ่งกระหาย เพื่อนๆ ของเธอและเพื่อนๆ ของผม มีบางคนที่เป็นคนคนเดียวกัน พวกเรานั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกสีแดง นั่งเรียงกันอย่างเงียบๆ ด้านในศาลาคือญาติๆ พ่อแม่ของเธอดูเศร้าเพราะชุดสูทดำสนิทที่สวมใส่ พวกเราทุกคนนั่งสงบอยู่สักพักจนใครคนหนึ่งเริ่มเปิดบทสนทนา เราไม่ได้เจอกันมานานพอสมควร ครั้งสุดท้ายที่นัดเจอกันได้มากขนาดนี้น่าจะเป็นงานแต่งงานของใครคนหนึ่ง แต่งานนี้เป็นงานศพของเธอ ความเศร้าตามพิธีถูกผลักไปไว้ข้างๆ เราหัวเราะเบาๆ ในบางเรื่องราวที่คุยกัน

ผมกับเธอมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันในช่วงเวลาหนึ่ง นานแค่ไหนผมชักจะเลือนๆ ไป นี่อาจจะเป็นการเล่นตลกอีกอย่างระหว่างความรู้สึกและเวลา เรามักจะไปไหนมาไหนด้วยกัน สุดสัปดาห์ที่ว่างเปล่าเราชอบไปนั่งเล่นนอนเล่นที่สวนสาธารณะ อากาศร้อนเสมอ แต่ก็มีลมทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง นึกไปถึงช่วงเวลาสั้นๆ (?) นั้นผมมักจะรู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมผมถึงไม่ค่อยจะรู้สึกเต็มตื้นหรือเอ่อล้นด้วยความสุข ผมมักจะแปลกใจอยู่เสมอว่าเราทะเลาะกันด้วยสาเหตุใด อาการป่วยไข้ของเราสองคน หรือความทุกข์ยากของใครบางคน

ใช่ ในบทสนทนาทางโทรศัพท์เราคุยกันอย่างออกรส โต้สะท้อนไปมาเหมือนคู่เล่นเทนนิสที่สนุกไปด้วยกัน (นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เราสัมพันธ์กันลึกซึ้ง) ถึงประเด็นทางสังคมต่างๆ บางทีโยงใยไปเรื่องการเมือง บางทีลามไปถึงเรื่องสถาบันฯ เราคุยกันทางโทรศัพท์เป็นส่วนมาก และมักจะเป็นยามวิกาลที่ทุกสิ่งต่างพากันหลับใหล บางที่เราคุยกันจนกระทั่งฟ้าสว่างรำไร เราแลกเปลี่ยนถ้อยคำเหมือนดั่งว่าเราเป็นผู้รังสรรค์ถ้อยคำ

แต่พอเราเจอกันที่สวนสาธารณะ ในร้านอาหาร ในร้านกาแฟ หรือห้างสรรพสินค้า เรากลับไม่ค่อยได้พูดจากันมากนัก เรามักจะง่วนอยู่กับการกิน การนอนทอดกายบนพื้นหญ้า การจิบดื่มกาแฟ หรือการเลือกซื้อสินค้า พอเราแยกจากกันเพื่อจะกลับบ้าน ถ้ามันเป็นที่ลับตาเรามักจะจูบกันเบาๆ ใครสักคนจะกระซิบว่า “เดี๋ยวคืนนี้โทรหา” ส่วนมากเธอจะเป็นฝ่ายโทรมา ส่วนมากผมจะรับสายในทันที ส่วนมากผมจะพูดฮัลโหล ส่วนมากเธอจะเรียกชื่อผมเบาๆ

หลังจากงานศพของเธอ ทุกอย่างก็ยังดำเนินไปตามปรกติ ผมใช้ชีวิตเหมือนเดิม เข้างานสายๆ เลิกงานค่ำๆ นัดเจอเพื่อนฝูงสังสรรค์ตามโอกาส สานสัมพันธ์กับเด็กฝึกงานในแผนก เรื่องราวของชีวิตที่ผมไม่ค่อยเชื่อนั้นดูท่าจะดำเนินไปได้สวย น้องเขาก็สวยน่ารัก เพื่อนร่วมงานหลายคนก็เล็งน้องเขาอยู่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องเขามาสนใจอะไรในตัวผม กรอบการปฏิบัติย่ำรอยเดิมอย่างน่าพิศวง เราใช้เวลาในการเดินห้างสรรพสินค้า นั่งจิบกาแฟ และเดินเล่นในสวนสาธารณะ น้องเคยชวนผมดูหนัง แต่ผมปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าการนั่งนิ่งๆ มองไปข้างหน้านั้นไม่เห็นจะเข้าท่าสำหรับคนสองคนที่ปรารถนาจะใช้เวลาด้วยกัน ผมตอบไปอย่างนั้นแต่ความจริงคือผมมักจะปวดหัวเวลาเพ่งจ้องภาพเคลื่อนไหว

เหมือนจังหวะและโอกาสจะลงตัวอย่างประหลาด โทรศัพท์ผมยังดังสม่ำเสมอ และไม่เคยดังขึ้นมาเวลาผมอยู่กับผู้หญิงคนอื่น นอกจากน้องฝึกงาน ผมก็สานสัมพันธ์กับเพื่อนของเพื่อนรุ่นพี่ เธอคนนี้อายุมากกว่าผมสองปี นัยน์ตาเฉี่ยวคม เธอชอบพาผมไปนั่งดื่มและฟังดนตรีเล่นสด ครั้งหนึ่งเธอคะยั้นคะยอพาผมไปโรงหนังอาร์ตเฮ้าส์ ผมปฏิเสธและให้เหตุผลเดิม เรื่องจึงลงเอยด้วยการที่เราไปแสดงหนังอีโรติกกันที่คอนโดของเธอ

ผมมีเวลาว่างเหลือเฟือ ทุกอย่างดูไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหลังจากเธอตาย ทุกอย่างดูเลื่อนไหลไปไกลจากจุดเริ่มต้น แต่สุดท้ายกลับวกกลับมาเป็นวงกลม เสียงเรียกเข้าเพลงเดิมดังอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ความรู้สึกหลอกลวงผมว่ามันห่างไกล เสียงของความเงียบจากปลายสายทำให้ผมจินตนาการถึงโลกใหม่ ครั้งหนึ่งผมถามเธอว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง “สบายดี” เธอตอบ “ไม่มีอะไรจะเล่าบ้างเหรอ” เธอส่ายหน้าในความเงียบ ผมจึงเริ่มเล่าเรื่องราวของหญิงสาวแต่ละคนให้เธอฟัง

หลังอาหารบางมื้อ เรามองหน้ากันแล้วนิ่งเงียบ เราอับจนถ้อยคำจะเอื้อนเอ่ย เมื่อถึงเวลานั้นผมมักจะล้วงหยิบหนังสือจากกระเป๋า พลิกหน้าอ่านตอนที่ยังคั่งค้าง เล่มล่าเป็นชีวประวัติของคุรุทางจิตวิญญาณสายทิเบต หลังจากพลิกอ่านไปได้สองหน้า, ห้านาที หากความรู้สึกในเวลาไม่ได้เล่นตลก เธอก็ระเบิดระบายถึงความไม่ใส่ใจทั้งหลายที่ผมเป็น ความเฉยชาทั้งหลายที่ผมมี เธอผูกโยงเหตุผลของการที่ผมไม่ยอมดูหนังกับเธอ เหตุผลของความเงียบ เหตุผลของการนอนเล่นในสวนสาธารณะที่เปลี่ยวเหงา และเหตุผลของการไม่รู้สึกรู้สาอันใด เธอบอกว่าเธอรับไม่ได้อีกต่อไป พรุ่งนี้เป็นวันเปิดเทอม เธอจะไม่ได้มาฝึกงานอีก เธอจะไม่ได้มาที่บริษัท แต่ผมก็ยังทำเป็นว่าทุกอย่างดูปกติสามัญ

ก็จริง…ทุกอย่างช่างดูปกติสามัญ
“ถ้าคิดถึงพี่เธอก็โทรมาสิ”

เธอโยนผ้าเช็ดปากใส่หน้าผม ลุกขึ้นเดินจากไป น้ำตาเธอไหลเป็นสาย จมูกเธอแดง ผมมองจานอาหารที่ว่างเปล่า แล้วจึงรินน้ำเปล่าให้ตัวเอง

ชีวประวัติของคุรุท่านนี้น่าสนใจมากๆ จะว่าไปแล้วทิเบตก็ดูเป็นดินแดนมหัศจรรย์ การค้นหาผู้สืบทอดนั้นกระทำด้วยการไปตามหาด้วยนิมิต นั่นหมายถึงผู้ที่กลับมาเกิดใหม่ด้วยจิตวิญญาณเดิมของคุรุผู้ที่ละสังขารไป นอกจากนั้นมีจะการทดสอบด้วยข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของคุรุผู้ล่วงลับ ผู้สืบทอดจะอยู่ในวิถีชีวิตเดิมๆ ก่อน รอจนกว่าจะถึงวัยที่เหมาะสม เมื่อนั้นพิธีการรับตำแหน่งจะถูกจัดขึ้น สถานะของเด็กคนหนึ่งจะเปลี่ยนไป ในสถานศึกษา ผู้สืบทอดจะได้เล่าเรียนศิลปะต่างๆ ที่ต้องใช้ในฐานะผู้สืบทอดจิตวิญญาณของคุรุรุ่นก่อนที่เป็นผีไปแล้ว นี่เป็นความหฤหรรษ์ระหว่างเส้นแบ่งของเรื่องผีและเรื่องชีวิต

ผมสับสนและเริ่มปวดหัว พับหนังสือเก็บลงกระเป๋า เรียกบริกรมาคิดเงิน

ผมพยายามรีดเค้นความทรงจำ เราแค้นเคืองกันด้วยเรื่องใด เป็นบทสนทนายามวิกาลเหล่านั้นหรือเปล่านะ เราคุยกันทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องสังคมการเมือง เราทะเลาะกันเพราะความเห็นขัดแย้งกันหรือเปล่านะ เราใช้ท่าทีและน้ำเสียงในการพูดคุยกันอย่างประนีประนอมหรือว่า…

โทรศัพท์ดัง เธอโทรมาถูกที่ถูกเวลาเสมอ

ผมโพล่งถาม “เธอเชื่อเรื่องการตายแล้วเกิดใหม่มั้ย” เธอเงียบ ผมฟังเสียงจากปลายสาย มันมีอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นลมทะเล ที่โลกใหม่มีทะเลหรือเปล่านะ ผมให้เวลาเธอ เธอจะเงียบได้นานตราบเท่าที่เธอต้องการ ผมจะถือสายรออยู่อย่างนี้ตลอดไป จนกว่าเธอจะเอ่ยคำใด ในขณะที่รอนั้นผมเริ่มก้าวเดินช้าๆ ไปตามเส้นทางกลับบ้าน มันค่อนข้างไกล แต่ก็ไม่มีเหตุให้รีบอะไร เธอยังคงเงียบ บางทีเหมือนเธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เหมือนถ้อยคำกำลังก่อร่างตัวมันขึ้น แต่ยังไม่ทันปรากฏกลับละลายหายไป ต้องใช้เวลา มันต้องใช้เวลาในการรวบรวมชิ้นส่วนที่แตกหัก เธอคงกำลังใช้เวลาอยู่

“ตั้งแต่วันที่ฉันไม่เชื่อเธอ…”
อะไรนะ ฉันได้ยินไม่ค่อยชัด
“ฉันก็ไม่เชื่อสิ่งใดอีก”

เธอวางสาย

2
ผมเห็นแสงสว่างไล่เป็นเส้นทาง มันชักนำให้ผมเดินไป บางทีผมอยากจะหยุด ยังเหลืออะไรอีกมากมายที่อยากทำแต่ยังไม่สำเร็จ ยังมีใครอีกหลายคนที่ผมหลงลืมไป อยากจะหันหลังกลับแต่ก็มีแรงผลักรุนหลังเหมือนสายลมหนาแน่น ผมกำลังจะไปสู่ที่ใดสักที่ที่ไม่ใช่ที่นี่ กระแสสำนึกหลั่งไหลพลุ่งพล่านจู่โจมผมจากรอบทิศ รู้สึกเหมือนเข้าใจว่าต้นไม้รอบๆ คิดอะไรอยู่ กรวดระหว่างทางรู้สึกยินดีกับปรากฏการณ์ที่เกิด เส้นทางยังคงทอดยาวไปไกล แสงสว่างนุ่มนวลนำพาไป แล้วทันใดกิริยานั้นก็ไม่อาจเรียกได้ว่าการเดิน…แค่เคลื่อนไป

ภาพมากมายผุดพรายในสำนึก อาหารที่กินไปเมื่อเช้า บทสนทนาแปร่งๆ น้ำตาของคนตรงหน้า เสียงโทรศัพท์ วัยรุ่นแปลกหน้าที่โผล่มาพร้อมกับกระชากโทรศัพท์ออกจากมือ ใบมีดที่แทรกเข้ามาที่ชายโครง พื้นถนนยังคงอุ่นแม้จะดึกมากแล้ว อกเสื้อเปียกชื้นเหนอะหนะ เสียงรถยนต์ที่แล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว กลิ่นของคลอง กลิ่นของกลางคืน

ทุกผัสสะค่อยๆ ไร้ความหมาย แต่ยังมีคำถามค้างคามากมาย แสงสว่างยังคงนำไป

ใบไม้หวีดหวิว พื้นคอนกรีตนิ่งสงบ แสงจากไฟถนนกะพริบติดดับ การเคลื่อนไหวที่ปรากฏ อณูต่างๆ ปลดปล่อยตนเองเป็นอิสระ หากจะมีสิ่งใดตกค้างในบรรยากาศสิ่งนั้นคงเป็นความงุนงง ภาพของกลางคืนสงบเงียบแผ่ขยายกินพื้นที่

ในที่ห่างไกล มีใครสักคนกำลังฝัน

เสียงโทรศัพท์ดัง ใครสักคนกรอกเสียงลงไปว่า…

ณขวัญ ศรีอรุโณทัย
30042009

ฟองอากาศกันกระแทก

”ฉันอาจจะไม่สวย แต่ก็ไม่ได้พิการนี่หว่า”
“เออ เธอไม่ได้พิการ ไม่สวย แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่นะ“
“นั่นคำปลอบใจรึเปล่าฮึ?”
“คิดเองสิ”

เขา…สองขาก้าวฉับๆ เดินดูทาง แต่สายตาวูบไหวไปตามสิ่งเร้า พิจารณาว่าพื้นที่จะเหยียบย่างหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันเดินตามมาเรื่อยๆ เขาไม่หันมามอง แต่บางทีก็ชำเลืองมองมา คงดูให้แน่ใจว่าฉันไม่ตกหล่นหายไปไหน ห่วงใย? คงไม่ใช่ ในสายตาเฉยเมยที่ชำเลืองมองมาชั่ววินาที ไม่มีทางรู้เลยว่าเขาคิดอะไร…

ไฟถนนกลางคืนมีสีส้มๆ ถ้าหากว่าฉันเป็นหมาคงเห็นแค่ว่ามันสว่าง จะไฟส้มหรือไฟขาวคงไม่ต่างกัน… หรือว่าต่าง?
“คงไม่มั้ง” เขาตอบกลั้วยิ้มนิดๆ

แล้วในแต่ละก้าว ผู้คนมากมายเดินเบียดไหล่ชนไหล่ ฉันพยายามจะไม่สัมผัสถูกใคร ใช่ว่ารังเกียจ ฉันก็แค่รักษาฟองอากาศส่วนตัวไว้ไม่ให้มันแตก เขายังคงเดินดุ่มๆ ไม่ปริปากพูดอะไร สายตาส่ายไปมาเหมือนว่าไม่เคยใส่ใจจ้องกับอะไรนานๆ แต่ก็เหมือนว่าดวงตากลางหลังหัวของเขาจะมองปรือๆ มาอยู่เลือนๆ

เดินขึ้นสะพานลอย เสียงดนตรีจากขอทานดังเข้าหู เพลงคุ้นๆ เป็นเสียงดีด เครื่องดนตรีนี่มันเรียกว่าอะไรนะ? รูปทรงคล้ายกีตาร์ แต่เล็กกว่า พิณ? เสียงที่ให้ออกมาผ่านลำโพงขนาดกระเป๋า ดังระรัวในทำนองสนุกสนาน เพลงเศร้าแค่ไหนก็ตามหากบรรเลงผ่านมันก็คงชวนให้ขยับแข้งขยับขา เขาเดินห่างออกไป หยอดเหรียญลงไปดังแก๊ง เหรียญห้าหรือสิบ? คงจะเป็นเหรียญห้ามั้ง มันงกจะตาย

ฉันหันไปมองใบหน้าขอทาน ตาเขาดูเลื่อนลอย ใบหน้าฉาบด้วยความเซ็งและเศร้าปนๆ กันอย่างละครึ่ง แล้วเพลงที่เมื่อครู่ฉันคิดว่าสนุก ก็กลับฟังหม่นเศร้า
“เล่นสนุกเนอะ ได้อารมณ์” ฉันชวนคุยยิ้มๆ
“อือ” เขายิ้มกลับ ยิ้มเหนื่อยเนือยสีเทาๆ เหนื่อยเพราะพึ่งเดินขึ้นสะพานลอยมา หรือว่าเหนื่อยเพราะอะไร?

คิดอะไรเงียบๆอยู่ได้…

“แกนี่ชอบอยู่กับตัวเองจังนะ”
“เปล่า…”
“…ไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่กับใคร”

ก็ถูกของเขา

ผู้คนมากมายเดินสวนต้านทิศทาง หันหน้าเข้าหา แต่ไม่มีใครซักคนที่จะสบตา ฉันเลยมีเหตุผลอีกข้อที่จะไม่ใส่แว่น ก็มันไม่มีความจำเป็นต้องมองอะไรให้ชัด แค่เงาร่าง แล้วทุกคนจะหน้าตาไม่ต่างกัน

“แล้วแกตัดแว่นไว้ทำไมวะ”
“เรื่องของชั้น”

เขาเดินช้าลง อาจจะเป็นเพราะกำลังทวนกระแสคนหมู่มาก หรืออาจจะเป็นเพราะว่ากำลังจับจ้องอยู่กับอะไรบางสิ่ง แล้วเขาก็สะดุดพรวด ฉันเห็นว่านิ้วหัวแม่เท้าเขากระแทกหินอย่างแรง แต่เขาก็ยังเฉยๆ สงสัยไอ้หมอนี่จะกลัวเสียฟอร์ม หรือไม่มันก็เป็นคนชาด้านไร้ความรู้สึก… แต่ถ้าจะให้ฉันสรุป คงบอกได้ว่า ถูกทั้งสองข้อ

เดิน เดิน เดิน ยังคงเดิน เมื่อไหร่จะถึง เมื่อไรจะสิ้นสุด ผู้คนแน่นหนามากขึ้นอีก รวมทั้งทางเท้าที่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาวางท่ออะไรซักอย่าง เศษเหล็กแผ่น ปูนซีเมนต์ แผ่นไม้วางพาดปากหลุม ผู้คนเดินสวนทาง ไม่มีใครพลาดล้ม ไม่มีใครเจ็บตัว ไม่มีใครโวยวายกับปากท่อที่เปิดอ้าคา ไม่มีใครตาย….

เขาเอื้อมมือไปบีบนมของสาวสายเดี่ยวสีฟ้าที่เดินสวนผ่านมา
“แกทำบ้าอะไรน่ะ!”
“ก็เค้าเขียนไว้ว่าบีบได้” เขาชี้ไปยังลายบนเสื้อของเธอคนนั้น
มันเขียนไว้ว่า Touch… if U DARE

“มัน…” ฉันพูดไม่ออก เถียงไม่ถูก และไม่รู้จะเถียงกับใคร เพราะเขากลับไปอยู่กับตัวเองเรียบร้อย และหญิงคนนั้นก็เดินจากไปไกลแล้ว

ฉันสงสัย เลยพยายามจ้องมองหน้าเธอคนนั้น  ไม่ชัด… ฉันล้วงกระเป๋าลงไปหยิบแว่นตา แต่ว่าหาไม่เจอ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้โวยวายอะไรนี่ สงสัยจะเป็นพวกผู้หญิงไม่ดี…

“แต่ละคนก็มีเหตุผลส่วนตัว” เสียงเขาดังแว่วๆ มา
“ชั้นไม่ได้ถาม” หางเสียงจงใจสะบัดๆ และเหมือนเขาจะรู้ว่าฉันไม่ได้โกรธอะไร เขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา

แล้วในที่สุดเราก็มาถึงที่หมาย ร้านอัดรูปดิจิทัล ฉันจัดการธุระในขณะที่เขานั่งรออยู่ที่เก้าอี้ ดูไม่สนใจอะไรอีกตามเคย ไอ้หมอนี่มันสนใจอะไรมั่งมั้ยนะ? ฉันหยิบรูปที่พึ่งรับเดินมายังเก้าอี้ นั่งลงข้างๆ เขา เรานั่งพลิกรูปดูทีละใบ ใบหน้าคุ้นๆ ในกระดาษขนาดโปสการ์ดที่พร่าเลือน เราเรียกพวกเขาว่าเพื่อน เราเรียกพวกเขาว่าญาติ โลกที่มีสีสันกลายเป็นภาพขาวดำคอนทราสต่ำ ดูคล้ายๆ ดินแดนแห่งความตาย คิดๆ ดูหมานี่น่าสงสารนะ ที่ไม่เคยมองเห็นสี

เราเดิน เดินอีกแล้ว เดินมารอยังจุดพักคอย คนมากมายเป็นร้อยผลัดเวียนมา เคยมีคนบอกว่าน่าขำที่ทุกคนหันหน้าไปทางเดียวกัน รอหมายเลขที่จะพาเรากลับบ้าน แผงลอยข้างๆ ตั้งขายน้ำส้มและเสาวรสเป็นขวดๆ น้ำแข็งละลายไปหมดแล้ว ที่เหลือคือเศษของความเย็น คือความเซ็งของแม่ค้าในยามค่ำที่นางเอกในละครทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ลูกสาวที่หายหัวไปไหนยังไม่กลับ ผัวที่ก๊งเหล้าไม่ยอมเลิก หรือว่าแค้นเคืองหอศิลป์ที่ยังไม่ได้สร้าง งานวัน 14 ตุลาที่ไม่ได้จัด ชีวิตที่ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม หรือว่าอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็เป็นได้…

หมาผอมซี่โครงปูดแต่มีปลอกคอตัวหนึ่งเดินผ่านมา แม่ค้าอ้วนกวักมือเรียก ไอ้หูตูบหันไปมอง ขนสั้นสีขาวลายน้ำตาล ขาวปนเทาๆ ของเห็บและฝุ่นสกปรก แม่ค้าล้วงมือไปใต้แผง หยิบกระดูกมาหนึ่งชิ้น ชิ้นเล็กๆ หูตูบมองตาม แล้วกระดูกก็ลอยหวือลงมาที่พื้น กระดูกเกลี้ยงเกลาไม่เหลือเศษเนื้อแม้ซักเอ็นเส้นเดียว หูตูบไปดมๆ และเงยหน้า ทำตาเบื่อๆเหมือนบ่น
จะให้กูกินก้อนแคลเซี่ยมรึไง?

แม่ค้าล้วงเข้าไปในถุงอีกรอบ ได้กระดูกอีกชิ้น ขนาดเท่าเดิม แต่มีเศษเนื้อหมูติดอยู่ เท่าปลายเล็บนิ้วก้อย หนนี้ไม่โยน แต่แม่ค้ายื่นมาให้หูตูบดม จมูกฟุดฟิดๆ หางกระดิกเร็วจี๋ แล้วมันก็อ้าปากกัดกร้วม แม่ค้าอ้วนลูบหลังมันอย่างเอ็นดู
“เด็กดีๆ”
หูตูบกระดิกหาง เดินเข้าไปใกล้ๆ แผง
หางยังกระดิกไม่หยุด…

รถเมล์มาพอดี เขายังคงจ้องมองหมาผอมตัวนั้น คิดอะไรอยู่นะ? เอาล่ะ ฉันจะลองเดา
“ระหว่างเศษเนื้อติดกระดูก กับมือที่ลูบขน แกว่าหมาต้องการออะไรมากกว่ากัน?”
เขายิ้มทั้งริมฝีปากและแววตา “ไปถามหมาดูสิ”
แล้วเราก็รีบเบียดเสียดผู้คนไปขึ้นรถเมล์
แล้วฟองอากาศของฉันก็แตก
ดังโพละเบาๆ
ไม่มีใครได้ยิน…

เขาหายไป เขาไปนั่งที่ไหน เขาหายไปอยู่กับตัวเองมั้ง? ก็คงงั้นแหละ เพราะเขาไม่มีที่ไป และไม่มีใครให้อยู่ด้วย…

แล้วฉันเองจะอยู่กับใครดีล่ะ?

ณขวัญ ศรีอรุโณทัย
ธันวา 2546

ภาพขาวดำของหญิงสาว

บ่ายแก่ๆ อันร้อนอบอ้าว ในวันเสาร์หน่ายๆ ที่ตัวขี้เกียจนอนตายเกลื่อนห้อง อากาศขยับพุ่งมาเป็นลำ เป็นสายลม ลมอุ่นๆ ร้อนๆ เพราะดูดซับไอแดด อากาศนอกนั้นพากันสั่นสะเทือน เคลื่อนอยู่ไหวๆ ด้วยคลื่นจากเสียงของสเตอรีโอฝุ่นเขรอะ ท่วงทำนองบ่นพล่ามคร่ำครวญหาสาระไม่ได้ แต่มันก็ยังดีกว่าอากาศนิ่งๆ ในห้องที่เงียบแสนเงียบ และแดดขี้เกียจที่ไม่มีอะไรน่าจำ…

แม่ของเธอตายเมื่อวาน…

รถคว่ำ ปุบปับและคล้ายๆ กับการแบกเป้ไปเที่ยว…ไกลแสนไกล ไม่มีข่าวคราว โปสการ์ดซักใบไม่มีทางส่งมาถึง (ไม่ว่าจะจากสวรรค์หรือนรก)  และไม่มีวันกลับ ผมจินตนาการเห็นภาพเด็กหนีออกจากบ้าน…ที่ยังไม่ทันได้ร่ำลา  แม่ของเธออาจจะเบื่อบ้านก็ได้นะ ก็เลยจากไป… แล้วก็แค่แป๊บเดียว การจากไปเป็นกิริยาชั่วขณะ ในพริบตาที่ไป… และต่อจากนั้น มันก็เป็นเพียงแค่การไม่มีอะไร…

เมื่อวานซืนเป็นวันเกิดของผม ยี่สิบปีที่แล้วมันเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง สำคัญมากๆ อย่างน้อยก็สำหรับแม่ วันที่ได้ปลดปล่อย วันที่อะไรๆ จะไม่เหมือนเดิม เพราะว่าชีวิตได้กำเนิดมาจากชีวิต เป็นตัวเป็นตน และเป็นอีกหนึ่ง ที่จะเป็นหนึ่งต่อไป…

แต่เมื่อวันเวลาได้เวียนมาจนถึงรอบที่ยี่สิบ หลายสิ่งหลายอย่างก็ต่างไป ช่องว่างระหว่างวัน ระหว่างความสัมพันธ์ที่ขยายกว้างขึ้นทุกทีๆ เหวลึกไร้ก้นที่มองลงไปแล้วรู้สึกเหมือนว่าตาบอด พร้อมคำถามที่เป็นดั่งเสียงสะท้อนก้องไปก้องมาในหุบเหว… ทำไมล่ะวะ? ทำไมล่ะ? ทำไม?

ก็ได้แค่พร่ำเพ้อถามไปงั้นๆ…คำตอบมันจะสะท้อนกลับมาได้ซะที่ไหนเล่า
บางทีแค่การที่เราไม่คุยกัน มันจึงทำให้ทุกอย่างค่อยๆ ตายไป กลายเป็นแค่ซากสีเทาๆ ขี้เถ้า…ผมหงอก…รูปขาวดำที่เก็บมานานสิบกว่าปี แม้แต่ความฝันที่เมื่อก่อนเถียงกันแทบตายว่าเวลาฝันมันเป็นสีมั้ย…กลับแน่ใจได้ในเวลานี้ว่ามันก็แค่ภาพขาวดำ…

หมาข้างบ้านเห่าเสียงแหบๆ ครางทุรนทุรายเพราะเจ้านายทารุณ  เมื่อก่อนผมคงไม่เสียเวลามานั่งสงสัยว่ามันรู้สึกอย่างไร แต่ตอนนี้ฟังไปฟังมาดันกลายเป็นว่าคล้ายเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า….ไอ้บ้า

เธอรักแม่ของเธอมั้ย? ถ้าแม่ของเธอไม่ใช่แม่ของเธอล่ะ เธอจะยังรักมั้ย?
แม่เป็นคนที่เบ่งเธอออกมา…หรือเป็นแค่คนที่เลี้ยงเธอเอาไว้ ไม่ปล่อยให้นอนจมกองเมือกตายๆไป
เธอคือแม่ครึ่งหนึ่ง…พ่อครึ่งนึง… รึว่าเธอไม่ได้มาจากใคร?

ในคำว่ารักที่เธอคงยอมรับ
เธอบอกได้มั้ยว่ารักเพราะอะไร…

มีเหตุผลเป็นล้านๆ ข้อที่จะยกมาอ้างได้ว่าคนเราไม่สามารถที่จะอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว ในเส้นทางของวันที่จะนำไปสู่ตะวันพรุ่ง มีใครสักคนไหมที่ไม่ต้องการใครเลย? มีซักคนไหมที่พอใจจะอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา? เป็นใครสักคนที่การมีอยู่ของเขามันสมบูรณ์พร้อม ตอบคำถามได้ทุกข้อโดยไม่ติดค่าตัวแปร รู้ในทุกสิ่ง…สุขุมคัมภีรภาพอย่างกับซุปเปอร์แมน (แต่เอาจริงๆเขาก็ไม่ได้เพอเฟ็คท์หรอกว่ะ อย่างน้อยก็รสนิยมต่ำ ที่เอากางเกงในแดงแป๊ดนุ่งออกมาโชว์ไว้ข้างนอก)

อย่างน้อยนะ ก็ไม่มีใครเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ ทุกคนก็เคยนอนลอยเท้งเต้งอยู่ในน้ำครำเหมือนกันน่ะแหละ

จำกันได้มั้ยว่าเมื่อก่อน การที่เราอยู่คนเดียวนี่สิ ถึงเป็นเรื่องประหลาด จำได้มั้ยว่าเราเคยร้องเรียกหา ‘ใครก็ได้’ เวลาหิว เวลาฉี่อึเลอะเทอะ เวลาเจ็บ เวลาไม่พอใจ แล้วมันอะไรกันเล่า มาในวันนี้ผมถึงพอใจซะเหลือเกินกับการอยู่กับตัวเอง คิดกับตัวเอง คุยกับตัวเอง

อย่ามายุ่งกะกู…..

แทบจะทุกคนที่ผมรู้จักล้วนพิการ อย่างน้อยที่สุดไส้ติ่งเขาก็หาย และทอนซิลก็ถูกตัด โยนทิ้งให้หมูกิน…
และทุกคนที่ผมรู้จักก็ล้วนโหยหาที่จะเป็นคนสำคัญ…หรือว่าเป็นหมู

หกโมงเช้าในวันพฤหัสกลางเดือนมิถุนายน ผมลืมตาอย่างไม่เต็มใจด้วยเสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือ  แทบไม่ต้องพยายามอะไรเลย…วันนี้ก็ผ่านไปเฉยๆ อย่างปกติธรรมดา เหมือนเมื่อวาน เหมือนเมื่อวานซืน เหมือนเมื่อวานของวานซืน เหมือนวันก่อนๆ เ ห มื อ น เ ดิ ม

แต่อย่างว่าแหละ ผมเองก็เป็นคนๆ นึงที่ผมรู้จัก ก็ยังอยากจะเป็นคนสำคัญ อย่างน้อยก็แค่ซักวันในใจของใครซักคน แล้ววันนี้มันก็ดูเหมาะสมดีนี่ วันนี้วันเกิดของผมไง จำได้มั้ยล่ะ? จำได้ไหม?

ก่อนหน้าที่แม่เธอจะรถคว่ำตาย เธอเคยเล่าให้ฟังว่าแม่ของเธอใกล้จะตายเพราะว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เธอว่าแม่เธอคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน และเธอก็บอกว่าเธอไม่เศร้าหรอก…เธอทำใจได้

เธอรักแม่มั้ย? ผมเคยคิดอยากจะถาม และก็อยากจะถามต่ออีกซักข้อไม่ว่าคำตอบของข้อแรกจะออกมาว่าอย่างไร…
ถ้าแม่เธอยังไม่ใกล้ตาย…เธอจะรักมั้ย?

แล้ววันธรรมดาวันนึงก็ผ่านไป ผมตื่นเต้นดีใจกับคำอวยพรจากคนรู้จัก…แบบผิวๆ
ดีใจทำไม? ตื่นเต้นทำไม? เป็นคนสำคัญ? ความรัก?
กลับบ้านมามืดค่ำ ช่องว่างและหุบเหวยังคงอยู่ที่เดิม ข้าวมื้อเย็นที่แม่ตั้งใจทำ เค้กที่พ่อซื้อมา ความรัก?
คำอวยพรจากคนที่ให้กำเนิด ‘ชีวิต’ นี้ขึ้นมา… ยี่สิบปีของความผูกพันธ์?

ในบางทีที่ผมเหนื่อยหน่ายเหลือแสน ทำไมทุกคนถึงไม่พูดในสิ่งที่คิด ไม่สื่อสารกันให้เข้าใจ
ไม่  เข้า  ใจ
ปลดปล่อยมันออกมา พร่ำพรรณนา โหวกเหวกโวยวาย ด่าทอกันให้ฉิบหายกันไปข้าง

หรือว่าอันที่จริงแล้วคือเราไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไร…

ในความตาย ในการฆ่าตัวตาย ในความเจ็บ ในสัญชาตญาณของการเอาตัวรอด ในวินาทีที่วิญญาณหลุดลอย
ในชีวิตที่ยังหายใจ และเรียนรู้ว่าการฆ่าตัวตายคือบาปมหันต์ ชีวิตไม่ใช่ของเรา อย่างน้อยเจตจำนงค์ในการที่ได้เกิดมาก็ไม่ใช่เพราะตัวผมเอง จะเพราะเจตนาหรือว่าถุงยางขาดก็สุดจะเดา… ในความคิดที่ดูโรคจิต หมกมุ่น ประสาท เบื่อหน่ายที่จะหายใจแต่ก็ยังไม่อยากหายใจ  แล้วรู้มั้ย นี่ผมกำลังเรียกร้องความสนใจโดยมีเรื่องสั้นเรื่องนึงเป็นผลิตภัณฑ์

ถ้าหากว่าพรุ่งนี้เช้า พ่อผมตายไป
อย่างแรกที่ผมจะวิตกก็คือ จะเอาเงินที่ไหนไปเรียน…
นี่คือความผูกพันธ์?
นี่คือความรัก (ตัวเอง) ?

ผมไปนั่งริมชายหาด มองไปยังทะเล เหมือนภาพข้างหน้าจะดลใจให้กลไกในหัวคิดอะไรออก แต่ก็ไม่…ฟ้าด้านบนที่สีฟ้าจัดๆ ค่อยจางลงๆ จนแตะอย่างแผ่วเบากับละอองคลื่น ชนแก้วกับเธอ กระดกดื่ม เรอ…

แล้วเธอก็จุดบุหรี่ คำพูดพล่ามมากมายไหลเรื่อยเปื่อยออกมาจากปากที่เผยอเพียงนิด เป็นเสียงพึมพัมที่ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ ในเวลาที่คำปลอบโยนไม่มีค่าอะไรแล้ว จะพูดมันออกมาทำแมวอะไร? นั่งเงียบๆ และก็ไม่ต้องฟังหรอก บางคนก็แค่อยากพูด แต่ไม่ได้ต้องการให้ใครฟัง และบางคนก็อยากฟัง แต่แค่ฟัง ไม่ใช่คิด…
เธอนั่งโงนเงน โน้มตัวไปข้างๆ แล้วก็โก่งคออ้วกออกมา ในฟ้าที่ค่อยๆ มืดนี้เรามองไม่เห็นหรอกว่าเศษซากนั้นมันเคยเป็นอาหารอะไรมาบ้าง

ฟ้าที่สลัวๆ ทำให้มองเห็นอะไรๆ เป็นภาพขาวดำ  แต่ภาพเธอที่ฟุบลงไปนอนอ้วกกลับดูช่างมีชีวิตชีวา…

การปลอบประโลมช่วยอะไรใครไม่ได้ น้ำตาที่ไหลออกมานั่นมันก็เพื่อตัวฉันเอง ก็แค่กลั่นความเศร้าออกมาเป็นหยด แล้วก็รอเวลาให้มันระเหยไป เศร้าซะให้พอแล้วก็ลืมๆ มันซะ ลืมตาให้กว้างๆ มองข้างหน้าให้ชัดๆ เธอเห็นก้อนเมฆเป็นรูปอะไรล่ะ? ฉันว่ามันดูเหมือนไอติมนะ… ฉันอาจจะยังไม่เห็นหรอกว่าสุดท้ายมันไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ตอนนี้ฉันอาจจะพิการ แต่ก็เฝ้าค้นหา…คนพิการซักคนที่จะมาเติมเต็ม

ผมพิการเพราะว่าพ่อและแม่ก็ต่างพิการ
เหตุผลทางกฎของพันธุกรรม?

ลมอ้าวๆ พัดมาไม่หยุด ใบไม้ไหว นกเกาะ สังเคราะห์แสงและคายออกซิเจนให้ทั้งผมและเธอได้หายใจ…

ต้นไม้…แกเองเคยสงสัยมั้ยในสาเหตุของการมีอยู่? ถ้าแกสงสัยฉันก็จะตอบให้….
เพื่อกระรอกจะได้มีบ้าน หมาจะได้ฉี่ใส่และทำกร่าง เพื่อเด็กน้อยนั่งพักใต้ร่มเงา
เพื่อที่เขาผู้ช้ำรักจะผูกคอตาย เพื่อคนโง่งมงายหาความหวังจากอะไรไม่ได้มาขูดขอหวย
เพื่อคนรวยๆ โค่นไปทำเก้าอี้

แล้วแม่เธอล่ะ…ทำไมถึงตาย? ผมถาม
ต้นไม่หลุบใบแล้วกระซิบ

ก็จะได้กลายเป็นปุ๋ย…

ณขวัญ ศรีอรุโณทัย
กลางปี 2003

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร open ฉบับเดือนกันยายน 2546