.
จดหมายหลายฉบับ บางบันทึก และวลีในนั้น
ณขวัญ ศรีอรุโณทัย
12092552
.
.
.
.
.
มิถุนา, หน้าฝน
ปีที่ฝนแรก ดั่งสายเข็ม พุ่งทิ่มแทง
คุณครับ
ผมอยากจะบอกอะไรบางอย่าง
คุณเป็นความฝัน คุณเป็นแรงบันดาลใจ คุณเป็นสิ่งดีงาม คุณเป็นความต้องการ คุณเป็นดวงดาว คุณเป็นดวงจันทร์ คุณเป็นยามเช้า คุณเป็นรอยยิ้ม คุณเป็นน้ำตา คุณเป็นหลายสิ่งหลายอย่างยามที่ไม่อยู่ ณ ที่นี้ แต่มีความสำคัญพอกันกับอากาศที่หายใจ นอกจากนั้นคุณยังทำตัวเหมือนอากาศ – ไม่สำคัญตัวเอง
ทั้งหมดนั้นยิ่งทำให้คุณสำคัญ
คุณเป็นมายา คุณเป็นภาพสะท้อน คุณเป็นสายรุ้ง คุณเป็นน้ำค้าง คุณเป็นจินตนาการ คุณเป็นเคมีในก้อนสมองที่เสียสมดุล คุณเป็นปฏิกิริยาของการกระทำที่ไม่ได้กระทำ …ผมกำลังจะบอกว่าคุณเป็นภาพลวงตา แต่แล้วผมก็เปลี่ยนใจ
ช่างมันเถิด คุณจะเป็นอะไร มันก็ไม่ทำให้อะไรต่างไปสักเท่าไหร่
เอาล่ะ… หมดแล้วสำหรับเรื่องที่อยากบอก
ผมส่งจดหมายไปหาคุณเดือนละฉบับ แล้วนี่ก็เป็นเพียงจดหมายอีกฉบับ ผมมั่นใจว่าคุณไล่สายตาอ่านทุกอักษร ทุกเครื่องหมายวรรคตอน ทุกช่องไฟ ทุกที่ว่างที่ผมเว้นเอาไว้
แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณได้ยินอะไรบ้างไหม
เพราะเสียงที่คุณส่งกลับมา…
นั้นเงียบ
บางทีผมลองจินตนาการว่าคุณกำลังคิดอย่างไรอยู่
คุณเศร้าหม่นทุกวารวัน จนสายตาเคยชินกับสีหม่นนั้น เหมือนหลอดไฟสลัวดวงเก่าในห้องน้ำที่มักทำให้เราประหลาดใจยามเปลี่ยนดวงใหม่ แปลกใจว่าเมื่อก่อนเราเคยใช้ชีวิตในแสงสลัวเลือนมาตลอดได้อย่างไรกัน คุณเศร้าหม่นทุกวันจนมันเป็นเรื่องธรรมดาและสงบสุขดี แต่การดำรงอยู่ของผม การเคลื่อนไหวของผม ถ้อยคำของผม ลมหายใจระโหยของผมนั่นล่ะที่ส่งคลื่นสะท้อนออกไปจนทำให้จักรวาลนิ่งสงบของคุณสั่นไหว มันกระเทือนเพียงเบาบาง จนเอียงไปเล็กน้อยไม่ถึง 0.5 องศาจากฐาน แต่ยอดหอคอยสูงลิบนั้นเอียงกะเท่เร่ จนคุณรู้สึกว่าทุกสิ่งไม่ได้อยู่ในที่สมควรอยู่
ซึ่งนั่นทำให้คุณรำคาญใจ
หรือว่า…
คุณสุขกายสบายดีในโลกใบนี้ โดยไม่เกี่ยวอันใดกับการมีอยู่ของผมเลยแต่น้อย โลกของคุณสดใสและมีสีสันจัดจ้าน ใบไม้ของโลกคุณก็เขียวสดตลอดกาล ดอกไม้ในโลกคุณก็เบ่งบานตลอดไป ไม่มีผืนดินที่แห้งแล้ง มันจะถูกปกคลุมด้วยหญ้านุ่มหรือไม่ก็ทุ่งดอกไม้อยู่เสมอ ผมเป็นเหมือนตัวละครในนิยายไร้สาระ ที่พยายามจะเป็นวรรณกรรมเชิงสัญลักษณ์ อันเรียกร้องผู้อ่านมากเกินไป และไม่เคยมีพฤติกรรมรวมถึงความรู้สึกอย่างที่มนุษย์มนาธรรมดาเขามีกัน
ซึ่งนั่นทำให้คุณประหลาดใจ
ผิดทั้งสองข้อ – ผมรู้ มันไม่มีทางที่การมีอยู่ของผมจะทำให้เกิดผลลัพธ์บ้าบอสองทางนั้น มันเป็นเพียงจินตนาการไร้เดียงสาที่ผมกำลังจินตนาการ เพียงเพื่อจะตอบคำถามว่า ระหว่างคุณกับผมนั้น มันเชื่อมโยงด้วยความรู้สึกใดกันแน่
ผมรู้ว่าคุณจะตอบกลับมาด้วยความเงียบเช่นเดิม ผมรู้ว่าคุณจะแสร้งทำเหมือนผมไม่มีตัวตนเช่นเดิม แต่ขอโทษเถอะ ผมมีความจริงข้อหนึ่งอยากจะบอก
การดำรงอยู่ของทั้งคุณ ทั้งผม และทั้งจักรวาล นั้นเกื้อหนุนกันและกัน มันป่วยการที่คุณจะทำเสมือนผมไม่มีตัวตน เพราะแม้คุณจะส่งผ่านมาเพียงความเงียบ…
แต่คุณก็ทำให้ผมเปลี่ยนไป
และมันก็เป็นเช่นนี้ด้วยในทางกลับกัน
เหมือนที่แล้วๆ มา,
ผมเอง
.
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
.
.
.
.
.
12 มิถุนา
เช้านี้ไม่มีอะไรต่างจากเช้านั้น ลูกๆ ทั้งสามคนไปโรงเรียนหมดแล้ว ทิ้งจานชามและคราบอาหารเช้าไว้ที่อ่างล้างจานหลังบ้าน ฉันเอาผ้าออกจากเครื่องซักผ้า แต่พอเงยหน้ามองฟ้ากลับเห็นเมฆครึ้ม บางทีฉันยังไม่ควรจะตากผ้า หรือว่าตากๆ ไปเถอะเพราะสภาพอากาศนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครจะบงการได้ แม้ว่าเสื้อผ้าทุกชิ้นจะเหม็นอับ แล้วลูกๆ ทั้งสามของฉันก็จะบ่นว่าฉัน โดยผลักคำว่าบุพการีไปไว้ข้างๆ
บุรุษไปรษณีย์ขี่จักรยานยนต์มา แล้วเหน็บบจดหมายไว้ที่ประตูรั้ว มันคงจะเป็นจดหมายธุรกิจต่างๆ จากธนาคาร ไม่ก็โฆษณาจากบัตรเครดิต ไม่ก็ห้างร้านต่างๆ ที่แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์กิจการอันรุ่งเรืองของตน ร่วมแสดงความยินดีมาในกระดาษพิมพ์สี่สีอายุสั้น จดหมายทั้งหมดนั้นคงจะจ่าหน้าถึงสามีของฉันเช่นทุกครั้ง ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกต่อไปแล้ว เขาไม่ได้อาศัยอยู่ เพราะเขาเจอบ้านของเขาแล้ว
ที่นั่นมีคนที่เขารัก เขายังคงประพฤติตนเป็นพ่อที่ดี โดยการส่งเงินค่าใช้จ่ายทางการศึกษาของลูกๆ และค่าใช้จ่ายจิปาถะภายในบ้านมาให้ไม่ขาดตกบกพร่อง นั่นแหละ ความเป็นพ่อที่ดีมีเท่านี้ ลูกๆ ทั้งสามคนบอกฉันเช่นนั้น และฉันก็ทำอะไรไม่ได้ไปกว่าการเป็นแม่ที่ดี ที่ล้างจานชามทุกใบให้ใสสะอาด และตากผ้ายามแดดแรง เพื่อให้เสื้อผ้าทุกชิ้นมีกลิ่นแดดหอม
แต่มีจดหมายหน้าตาลำลองเกินกว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจแซมมาหนึ่งซอง เป็นซองจดหมายสามัญสีครีม เปียกชื้นนิดหน่อยเพราะฝนของช่วงนี้ และสแตมป์สามัญสีน้ำตาล พระบรมฉายาลักษณ์ราคา 3 บาท
จดหมายนั้นไม่ได้จ่าหน้าถึงสามี ไม่ได้จ่าหน้าถึงลูกๆ ทั้งสามคน และไม่ได้จ่าหน้าถึงฉัน แต่ว่าที่อยู่นั้นถูกต้อง ฉันสงสัยว่าชื่อของคนบนซองจดหมายนั้นคือใคร แม้ไม่รู้จักแต่ฉันกลับคุ้นเคย
บนซองสีครีมจ่าหน้าถึงวลี
ฉันแกะซองออกอ่าน ถ้อยคำของชายคนหนึ่งพุ่งปะทะจนฉันนึกขัน เขาพร่ำพูดเรื่องใดกัน แม้จะละคำบางคำไว้ แต่ฉันคิดว่าเขาตั้งใจเหลือเกินที่จะเอ่ยความรู้สึกอย่างคำนั้น
ไอ้คำเดิมๆ ที่ทำให้หัวใจของความเยาว์สั่นไหวนั่นล่ะ
หลังจากอ่านจบจนครบทุกที่ว่างในนั้น ฉันเก็บมันลงลิ้นชัก บอกตัวเองว่าพระเจ้าคงส่งมันมาให้ฉัน เป็นของขวัญวันเกิดปีที่สี่สิบจากชายนิรนาม
.
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
.
.
.
.
.
(No Subject)
From: Me
Sent: Wednesday, June 12, 2009 11:48:11 PM
To: Secret
ตั้งแต่ผมได้ตำแหน่งนักจำแนก ผมก็ใช้สิทธิในการจำแนกทุกสิ่ง
แรกเริ่ม จะต้องรื้อสรรพสิ่งออกมาวางแผ่บนที่ว่าง พิจารณาอย่างช้าๆ มองหาความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละสิ่ง จากนั้นจึงเลือกกฎเกณฑ์ชุดหนึ่งขึ้นมา แล้วจำแนกตามกฎเกณฑ์นั้นๆ การจำแนกที่สัมฤทธิ์ผลคือเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ทุกหมวดหมู่มีสมาชิกน้ำหนักพอจะเปรียบเทียบกันได้ มิใช่แตกต่างกันมหาศาล
มันยากเสมอ เวลาเริ่มต้นว่าจะเลือกกฎเกณฑ์ข้อไหน
และยากที่สุด เมื่อต้องจำแนกมนุษย์
บ่อยครั้งผมใช้เกณฑ์คุณภาพของความสัมพันธ์: มิตร ศัตรู คนรัก คู่อาฆาต เจ้ากรรม นาย(บางทีนาง และบางทีไอ้)เวร คนรู้จัก
ซึ่งหมวดหมู่ต่างๆ นั้นช่างไร้ความสมดุล บ้างก็มีสมาชิกล้นหลาม บ้างก็ร้างไร้ไม่มีใครมีคุณสมบัติพอจะแปะป้ายนั้น
คุณคงจะรู้ดีว่าคุณเองอยู่ในหมวดไหน
ห้วงขณะที่สรรพสิ่งวางเผยโฉมบนที่ว่าง เป็นเวลาที่ผมสับสนอยู่เสมอ เมื่ออดีตผมเคยจำกัดตัวเองมากไป บางหมวดหมู่ผมจำกัดสมาชิกไว้แค่หนึ่ง อย่างเช่นหมวดคนรัก แต่เวลาก็สอนผมว่ามันไม่ใช่เลย สมาชิกในหมวดที่มีเพียงหนึ่งนั้นกลับไร้น้ำหนัก ไร้พลังที่จะไปคัดคานกับหมวดตรงข้าม – อย่างเช่นหมวดศัตรู ที่นับวันจะยิ่งใหญ่โตขึ้นทุกที
แล้วความสับสนก็ทบทวีเมื่อสมาชิกในแต่ละหมวดนั้นสลับคุณสมบัติกัน บางมิตรนั้นมีความเป็นศัตรูอิงแอบอยู่ บางคู่อาฆาตนั้นกลับลุ่มหลงกันและกันอย่างกับว่าเป็นคู่รัก
หลักศีลธรรมนั้นไร้ค่าหลังจากที่ผมเป็นนักจำแนก ภรรยาของผม — ผมจัดเธออยู่ในหมวดนางเวร ส่วนลูกทั้งสามก็อยู่ในหมวดใกล้เคียงกัน พวกเขาเป็น ‘คนรู้จัก‘ อีกไม่ถึงห้าปี ผมคงจะต้องต้อนพวกเขาเข้าคอกมิตร…
หรือไม่ก็ศัตรู
ฟังดูเป็นการคาดคะเนที่น่าเศร้า
เศร้าที่สุดก็เพราะมันมีเค้าความจริง
แต่นั่นจะสำคัญอะไร ในเมื่อหมวดคนรักของผมนั้น
ยังไม่ว่างเปล่า
.
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
.
.
.
.
.
12 มิ.ย. 2552
วันนี้ฝนรินบางเบาแต่เช้า พวกเราเลยไม่ได้ออกไปไหนกัน อากาศขมุกขมัว
ตรงหน้ามีนกกระจอกๆ บางตัวบินหนีฝน
ขณะที่ฉันนั่งเขียนบันทึกอยู่นี้ ฉันสังเกตเห็นว่าชายวัยประมาณสามสิบปลายๆ คนหนึ่งในแพข้างๆ ก็กำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่บนแพโทรมๆ ที่เรานอนหลับใหลเมื่อคืน เชื่อมต่อกันและสั่นไหวขึ้นลงด้วยคลื่นน้ำลูกเดียวกัน ไม่แน่ว่าทุกคนบนแพต่างก็ฝันซ้อนเหลื่อมกัน ร้อยเรียงอย่างซับซ้อน เป็นตัวละครของกันและกัน และตื่นขึ้นมาด้วยความแปลกหน้า เพราะแม้จะจำเหตุการณ์ในฝันได้ แต่จะไม่มีใครเอ่ยอะไรถึงเรื่องราวในค่ำคืนที่ผ่านมา
สงสัยว่าฝนหยดเล็กๆ และเมฆสีดำทะมึนนั่นจะทำให้ฉันเพ้อเจ้อ
ฉันมาเที่ยวพักผ่อนกับเพื่อนๆ ของฉัน และชายคนนั้นก็คงจะมากับภรรยา (ที่วันๆ มักจะหมกตัวอยู่แต่ด้านใน) แต่ในขณะที่แพของฉันมีเสียงหัวเราะเอะอะเสมอๆ เขากลับนั่งเหม่อมองหยดฝนกระทบผิวน้ำอยู่เงียบๆ คนเดียว หนังสือที่เขาถืออยู่ตรงหน้านั้นเหมือนวัตถุโปร่งใสที่เขามองทะลุไป เนิ่นนาน เขานั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ประพฤติตนเหมือนสิ่งของที่เรามักจะละไว้ไม่บรรยายถึงในงานวรรณกรรม
สักพักหนึ่งเขาปิดหนังสือ และเปิดสมุดบันทึก เขียนอะไรบางอย่างอย่างช้าๆ เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม หยดฝนยังคงตกกระทบน้ำ บางเบา เป็นรอยเปื้อนนับไม่ถ้วนที่ปรากฏชั่วครู่เดียว
ฉันนึกไปว่าทุกถ้อยของเขาในสมุดบันทึกก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมไหวบนผิวน้ำ และนั่นทำให้อากาศสั่นสะเทือน ส่งผลถึงอารมณ์ของใครสักคนที่เขาเขียนบันทึกถึง
เขาเขียนถึงใครสักคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาคงจะเขียนถึงคนที่เขามองเห็นในหยดฝน
ฉันเองก็อยากจะเขียนถึงใครคนอื่น แทนที่จะลอบสังเกตชายแปลกหน้า แล้วบรรยายเรื่องที่ไม่มีเรื่องลงในสมุดบันทึก
แต่ภาพของผู้ชายวัยกลางคน ที่ก้มหน้าเขียนอะไรบางสิ่งลงในสมุดอย่างครุ่นคิด ท่ามกลางสายฝน และอากาศหนาหนัก กลับทำให้ฉันนึกถึงจดหมายบางฉบับจากใครบางคนที่ส่งมาทุกเดือน แต่แล้วก็หายไป
เวลาเขียนจดหมาย เขาเขียนด้วยท่าทางอย่างนี้รึเปล่านะ
ฝนที่รินไหลหายไป ผิวแม่น้ำไม่มีสิ่งใดตกกระทบ เขาเขียนบันทึกเสร็จแล้ว และฉีกกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากสมุดบันทึก ถือกระดาษเปื้อนรอยหมึกแผ่นนั้นไว้ในมือซ้าย ฉันคงจะจ้องเขานานเกินไปจนเขารู้ตัว เขาหันมายิ้มบางๆ ให้ฉัน ฉันหลบสายตาวูบ รู้สึกเหมือนโดนรู้ทัน
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะเบือนสายตาจากเขาแล้วแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ เขากลับปล่อยมือทิ้งกระดาษแผ่นนั้นลงน้ำ แล้วยิ้มกว้างก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปด้านใน
ฉันมองแผ่นกระดาษนั้น มันลอยอ้อยอิ่ง หมึกสีน้ำเงินเข้มละลายออกมาเล็กน้อย ถ้อยคำยังคงอยู่ในกระดาษ ถูกขังในระนาบแบนราบ ไร้ความหมาย และนั่นทำให้ฉันรู้สึกเสียดาย
ฉันควรจะกลับมาที่สมุดบันทึกของตัวเองได้แล้ว เพราะเราไม่ควรจะเสียดายสิ่งต่างๆ นานเกินไป ฉันลากดินสอผ่านกระดาษ บันทึกเรื่องราวเหมือนเขียนจดหมายถึงตัวเอง มันไม่ยากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะรู้ว่าควรจะหยุดตอนไหน ตัดตอนไหน และโยนดินสอทิ้งตอนไหน
น่าสงสัยว่าเขาเอาเรื่องราวอะไรมากมายมาเขียนจดหมายทุกๆ เดือน หรือว่ามันง่ายกว่าการมองหน้าแล้วพูดจากันตรงๆ
นั่นสินะ… กลับไปฉันจะลองเขียนจดหมายดู
เสียงหัวเราะขันดังเล็ดลอดมา เพื่อนๆ กำลังคุยกันเรื่องห้องพักฮันนีมูนสวีทที่ประตูห้องน้ำนั้นเพียงเป็นบานกระจกใส มองเข้าไปเห็นส้วม
“จะได้มองเห็นคนรักในทุกท่วงท่า แม้กระทั่งนั่งอึไง” ใครสักคนเปิดประเด็น
“อี๋”
“เพราะความรักนั้นซึมซาบเข้าไปในทุกอณู เหมือนจิตวิญญาณเครื่องใน เอ๊ย ภายใน” ยังติดลมอยู่
“โอ้ ที่รักจ้ะ นี่คือซากคาเวียร์เมื่อคืน ยังเป็นเม็ดอยู่เลยจ้ะ” เริ่มมีลูกคู่
“มันช่างหอมหวาน เหมือนความร๊ากของเรา” เข้าขากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“แต่คราวหน้าเรามาพิจารณาความรักในเม็ดข้าวโพดแทนดีกว่า เหลืองสดใส เห็นเป็นเม็ดสวยงามดี” หมอนั่นกล่าวสรุป
บทสนทนายามเช้าเจื้อยแจ้วในทำนองนี้ เหมือนไร้สาระใดๆ แต่จะว่าไปมันก็ตลกดีจริงๆ นั่นแหละ ฉันน่าจะวางดินสอ แล้วเข้าไปนั่งหัวเราะร่วมกับคนอื่นๆ ดีกว่า
.
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
.
.
.
.
.
แม่,
หนูคิดว่ากลับมาจากไปเที่ยวแล้วอาจจะผ่อนคลายและเข้าใจแม่ได้มากขึ้น
แต่แม่คะ วันที่แม่เล่าเรื่องเรื่องไอ้หมอนั่นให้หนูฟัง หนูก็พยายามจะทำความเข้าใจอย่างยิ่งแล้ว หนูพยายามคิดอย่างที่แม่บอกว่า คิดซะว่าแม่ไม่ใช่แม่ แต่เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง หนูพยายามอย่างมากที่จะคิดเช่นนั้น แต่ก็ยังไม่เข้าใจอะไรอยู่ดี
หนูคิดว่าเขาน่าจะชัดเจนมากกว่านี้ ไอ้ถ้อยคำที่เขาพูดมันเป็นเพียงการเล่นโวหารพลิกลิ้น มันฟังบางเบาและไร้น้ำหนักเกินกว่าจะยึดจับเอาไว้ได้
ยิ่งกว่านั้น เขามีเมีย มีลูก แต่ความรู้สึกที่เขาพูดถึงทั้งเมียและลูกนั้นมันช่างร้ายกาจ เขาคิดอย่างนั้นจริงๆ ล่ะหรือ คนแบบนั้นนี่นะที่ให้ความสุขกับแม่ได้
ระหว่างสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา การนอนเฉยๆ บนแพกลางแม่น้ำ และฟังเสียงความเงียบบ้าง พูดตลกเรื่องไร้สาระบ้าง ก็ไม่ได้ทำให้หนูเข้าใจอะไรอย่างที่แม่หวังให้หนูเข้าใจ
…หนูขอโทษ สำหรับถ้อยคำที่เคยโพล่งใส่แม่ นึกย้อนกลับไปมันก็ช่างเป็นคำที่ร้ายกาจเกินกว่าจะพูด
แต่ถึงจะขอโทษ ก็ไม่ได้หมายความว่าหนูจะยอมรับและเข้าใจในสิ่งที่แม่ทำหรอกนะคะ
สักวันเธอจะเข้าใจ – แม่พูดซ้ำๆ อยู่แค่นี้
สิ่งที่แม่พยายามอธิบายและเรียกร้องความเข้าใจจากหนูคงจะยากเกินไป เพราะอย่างไรหนูก็ไม่สามารถคิดว่าแม่เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังมีความรัก ที่รู้เท่าทันกรอบทางศีลธรรมอันคับแคบ หนูทำไม่ได้หรอก
ถึงเราจะสนิทสนมกันขนาดไหน แต่แม่…ก็ยังเป็นแม่นั่นแหละ
สักวันที่ว่านั้น… เมื่อมันมาถึง เราก็จะยังเป็นแม่ลูกกันอยู่ ไม่ใช่หรือคะ?
…
ถ้าหากย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง แม่จะทำสิ่งต่่างๆ อย่างที่เป็นรึเปล่านะ
ย้อนกลับไปจนถึงจุดที่หนูไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้ นั่นอาจจะดีกว่ามั้ยนะ
แต่หนูก็อยู่ที่นี่แล้ว และความเจ็บปวดใดๆ นั้น พบและผ่านเพียงครั้งเดียวก็พอแล้ว
บางทีหนูชักจะสงสัยว่าโรคซึมเศร้านั้นเป็นพันธุกรรมในครอบครัวของเรา เป็นความบ้าคลั่งที่อยากจะทำร้ายตัวเองด้วยความรู้สึกที่ตัวเองนั่นแหละสร้างขึ้นมา แล้วก็จมลงในนั้น จนสาสมกับความสุข
หนูรู้สึกว่าหากนี่เป็นหนังสักเรื่อง เรื่องราวของแม่จะต้องเป็นเรื่องราวของตัวหนูเองเข้าสักวันแน่ๆ
ซึ่งนั่นเป็นอนาคตที่หนูไม่เคยต้องการ
ตกลงเรื่องของพ่อที่แม่เคยเล่ามาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโกหกใช่มั้ยคะ หนูไม่โกรธแม่เท่าไหร่ในความจริงอันนี้ เพราะแม่ก็คงลำบากใจหากจะเล่าว่าพ่อฆ่าตัวตายให้ลูกสาวตัวเล็กๆ ฟัง แต่มันก็ผ่านมานานแล้ว
จนวันนี้ แม่ก็น่าจะรู้ว่าหนูรู้เรื่องราวทั้งหมดมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่…หนูอยากได้ยินเรื่องเล่าจากแม่ แม่รู้สึกอย่างไรบ้าง หนูอยากรู้เหลือเกิน แม่คงไม่พอใจที่หนูคุ้ยความทรงจำนี้ออกมา แต่เรื่องของพ่อ ชีวิตของพ่อ ก็น่าจะเป็นสิ่งสวยงามสิ่งหนึ่งในความทรงจำ
แม่ลืมพ่อของหนูไปหรือยังคะ
ถ้าหาก…ยังเหลือตัวตนของพ่อตกค้างในความทรงจำอยู่บ้าง
กรุณาเล่าเรื่องราวของเขาให้หนูฟังหน่อยเถอะค่ะ
หนูจะได้เลิกเชื่อนิทานหลอกเด็กเรื่องเก่านั่นได้เสียที
เพราะตอนนี้เหมือนจะมีนิทานเรื่องใหม่ๆ จากผู้ชายคนหนึ่งมาทำให้โลกของหนูสั่นสะเทือน ตัวอักษรทางจดหมาย พรรณนาบางสิ่งที่เขารู้สึก แต่หนูก็กลัวเหลือเกินว่ามันเป็นเพียงโวหารพลิกลิ้นตวัดไปมา…
เหมือนคำที่หมอนั่นอธิบายกับแม่
เหมือนจดหมายลาของพ่อ
รักษาสุขภาพนะคะ
วลี, ลูกของแม่
.
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
.
.
.
.
.
กรกฎา, ฝนยังไม่หยุด
คุณครับ
นี่อาจจะเป็นจดหมายฉบับสุดท้าย หรืออาจจะเป็นเพียงจดหมายฉบับที่สิบสอง ครบหนึ่งปีแล้วที่ผมเขียนมาหาคุณ ตั้งแต่วันนั้น วันแรกของสายฝน จนวันนี้มรสุมและฝนหยดเดิมกลั่นตัวลงมาจากเมฆอีกรอบ…คุณเปลี่ยนไปบ้างมั้ยครับ
ส่วนผมเอง
ผมคิดว่ามีหลายอย่างเปลี่ยนไป
หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมทำ เหมือนเรื่องเล็กๆ ที่น่าขบขัน ไร้เหตุผล แต่มันจะเต็มเปี่ยมขึ้นมาทันทีเมื่อคุณหัวเราะคิกขึ้นมาได้ มันจะมีความหมายเปี่ยมล้นหากเพียงทำให้คุณสบายใจ
และจดหมายสิบเอ็ดฉบับที่ผ่านมา ผมเห็นคุณยิ้มน้อยๆ ในความเงียบ และนั่นเท่ากับคำตอบของบทสนทนายาวยืดระหว่างเรา
เพียงแต่…
ฝนนั้นไม่ตกตลอดกาล
และรอยยิ้มใดๆ ล้วนไม่คงทน
น้ำจะท่วมโลกเป็นแน่แท้
และการยิ้มนานเกินไปทำให้เราเมื่อยเหลือจะทน
หวังว่าคุณจะสบายดี
เหมือนเดิมในบางส่วน,
ผมเอง
.
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
.
.
.
.
.
(No Subject)
From: Me
Sent: Friday, June 14, 2009 01:35:04 PM
To: Secret
เมื่อวันสองวันที่ผ่านมา ผมได้ยินบทสนทนาบ้าๆ บอๆ ของเด็กกลุ่มหนึ่ง (ไว้ผมเล่าให้ฟังทีหลังว่าผมไปไหนมา) แล้วก็นึกอะไรได้ขึ้นมา
แม้ในตัวคุณเอง ผมก็ยังจำแนกออกเป็นส่วนๆ ได้ ทั้งส่วนที่ชอบ ส่วนที่ชัง ส่วนที่ทั้งชอบและชัง
สิ่งปฏิกูลในตัวคุณอย่างเช่นของเสียต่างๆ นั้นเป็นสิ่งน่าชัง แต่เราก็ไม่สามารถจะแยกส่วนตัดทิ้งไปได้ ไม่ว่าจะโดยนักจำแนกผู้สามารถหน้าไหน เพราะหากปฏิเสธส่วนหนึ่งส่วนใดไป มันก็ไม่ใช่คุณ
อาหารเลิศรสให้ความสำราญยามดื่มกิน หล่อเลี้ยงร่างกายคุณให้เปล่งปลั่งหอมหวล เป็นน้ำเป็นนวลในอ้อมกอดของผม
แต่อาหารตกค้างในลำไส้ใหญ่ย่อมต้องถูกระบายออกในที่ที่สมควร ผมไม่ปฏิเสธมัน แต่ผมก็ไม่ได้ยินดีอันใดกับมัน
ทั้งหมดนั่นก็เหมือนกับเรื่องระหว่างเรา
ก็หวังว่าคุณคงเข้าใจ
ป.ล. ผมพร้อมจะไปพบวลีแล้ว สัปดาห์หน้าผมว่างช่วงเย็นทุกวัน ฝากเป็นธุระช่วยจัดการนัดให้ด้วยครับ
.
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
.
.
.
.
.
to my unborn child
วันหนึ่งลูกจะเข้าใจ ว่าการเป็นผู้ใหญ่นั้นมันไม่ง่ายเลย
และการต้องเลือกนั้น แท้จริงไม่ได้เหลือทางเลือกที่เราพอใจให้เลือกสักเท่าไหร่หรอก
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั้นก็เกิดขึ้นแล้ว เราก็เพียงจัดการเรื่องต่างๆ ที่ดาหน้าเข้ามาอย่างสุดความสามารถ
ถ้าเราเอาหยดน้ำตาทั้งหมด และพลังงานที่เสียไปกับการร้องไห้ทั้งหมด ฝังไว้กับอดีต เราคงเหลือแรงกายแรงใจมากพอที่จะใช้ในอนาคต โดยที่ไม่เหนื่อยเกินไป
ที่ว่ามานั้น พ่อเชื่ออย่างยิ่งในสิ่งที่พ่อพูด
…แม้ว่าตอนนี้พ่อจะกำลังร้องไห้อยู่ก็ตาม
พ่ออ่อนแอเกินไป
และเหนื่อยเกินไป
มันน่าอายใช่มั้ยที่คนเป็นพ่อจะพูดอย่างนี้…
คนอื่นอาจจะมองว่าสิ่งที่พ่อทำนั้นเป็นเรื่องโง่เขลา แต่พ่อใคร่ครวญดีแล้ว มันควรจะจบลงแบบนี้แหละ
จริงๆ แล้วพ่อไม่ได้ตั้งใจให้นี่เป็นจดหมายลา มันเป็นแค่จดหมายฉบับหนึ่งเท่านั้น พ่อไม่ได้จากไปไหนไกล ครึ่งหนึ่งของพ่อจะสถิตย์อยู่ในลูกเสมอ ครึ่งหนึ่งของพ่อ เฉพาะส่วนที่ดีงาม…ที่มอบให้ลูก
ครึ่งหนึ่งของพ่อ จะอยู่กับลูกตลอดไป
ส่วนอีกครึ่งที่เหลือ
พ่อขอลา
.
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
.
.
.
.
.
.
กวี…
ฉันได้รับจดหมายแค่สิบเอ็ดฉบับเอง
หนึ่งฉบับที่หายไป
ฉันยังอยากอ่านมันอยู่นะ
วลี
.
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
.
.
.
.
.
writer’s note: เรื่องสั้นเรื่องนี้ ไม่ได้มีอะไรมาก
มันเพียงเริ่มจากจดหมายฉบับหนึ่งในจินตนาการ
จดหมายที่ไม่อาจเขียนจริงๆ แล้วส่งให้บุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงๆ
เพราะมันอาจจะไม่จริงพอสำหรับโลกใบนี้
จากนั้นจึงเพิ่มน้ำหนักในความสัมพันธ์ต่างๆ ของแต่ละตัวละครในความฝัน
เพิ่มบทสนทนาเพี้ยนๆ ที่เกิดจากความปลอดโปร่งใจตอนไปเที่ยวสุโขทัย
ก่อนจะกลับมารื้อแล้วแก้ใหม่ ในความหม่นเทาของกรุงเทพมหานคร
.
.
.